น้ำสำหรับปลาสวยงาม
ความเป็นอยู่ของปลามีความแตกต่างจากสัตว์บกหรือสัตว์เลือดอุ่นค่อนข้างมาก การเลี้ยงสัตว์บกสามารถปรับปรุงคอกเลี้ยง ทำให้สามารถทำความสะอาดกำจัดเศษอาหาร และมูลสัตว์ออกจากคอกได้อย่างง่ายดาย แต่ปลามีน้ำเป็นบ้านอย่างถาวรและจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตต่างๆอีกหลายชนิด คุณภาพน้ำอาจเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสาเหตุจากสภาพแวดล้อมและจากตัวปลาเอง เพราะปลาก็มีการขับถ่ายอยู่ตลอดเวลา แต่ในแหล่งน้ำธรรมชาติจะเกิดการปรับปรุงหรือปรับสภาพให้น้ำมีคุณสมบัติที่เหมาะสม โดยขบวนการต่างๆจากสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลย์
ปลาสวยงามถูกนำมาเลี้ยงในพื้นที่จำกัด โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ แต่เน้นเพื่อให้มองดูสวยงามมีน้ำใสอยู่เสมอ ทั้งที่คุณสมบัติด้านต่างๆอาจแตกต่างไปจากน้ำธรรมชาติอย่างมากมาย จนทำให้ปลาอ่อนแอแคระแกรนหรืออาจถึงตายได้ แต่น้ำก็ยังคงดูเหมือนใสสะอาด ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจึงควรให้ความสนใจดูแลและปรับเปลี่ยนน้ำให้แก่ปลาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ปลาที่เลี้ยงได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
1. ความสำคัญของน้ำต่อการดำรงชีพของปลา 

1.1 เป็นแหล่งออกซิเจนที่ปลาต้องใช้หายใจ ออกซิเจนที่ปลาจะนำไปใช้หายใจได้นั้นจะต้องละลายลงไปในน้ำ สภาพน้ำที่ดีมีการเจือปนของสิ่งต่างๆน้อยจึงจะมีการละลายของ ออกซิเจนได้ดี หรือมีปริมาณของออกซิเจนอยู่สูง จะทำให้ปลาสดชื่นมีสุขภาพดี
1.2 มีผลต่อการเจริญเติบโต น้ำที่มีคุณภาพเหมาะสมจะทำให้ปลามีการเจริญเติบโตได้ดี สภาพน้ำที่มีการหมักหมมของเศษอาหาร และของเสียจากการขับถ่ายของปลามากเกินไป จะทำให้ปลาแคระแกรน เติบโตช้า ถึงแม้ปลาจะยังมีการกินอาหารดีอยู่ก็ตาม
1.3 มีผลต่อการกินอาหารของปลา หากสภาพของน้ำมีความไม่เหมาะสมมากขึ้น ปลาจะกินอาหารน้อยล การว่ายน้ำค่อนข้างเชื่องช้า อ่อนแอและเกิดโรคได้ง่าย
1.4 มีผลต่อสีสันของปลา น้ำที่มีคุณภาพไม่เหมาะสมจะมีผลทำให้ปลามีสีซีดจางกว่าที่เคยเป็นอยู่
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามมาจากหลายแหล่งด้วยกัน การเลือกใช้จะขึ้นกับความสะดวก ปริมาณ วัตถุประสงค์ของการเลี้ยง กับความเหมาะสมในการจัดหา ได้แก่
2.1 น้ำประปา เป็นน้ำที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามส่วนใหญ่ใช้เลี้ยงปลากันมากที่สุด โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้เลี้ยงที่อยู่ตามอาคารบ้านเรือน ทำให้สามารถจัดหาได้ง่าย และประการที่สำคัญคือ น้ำประปาจัดว่าเป็นน้ำที่มีความเหมาะสมสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามได้เป็นอย่างดี เพราะจากขบวนการของการผลิตน้ำประปา ได้เน้นที่มีความใสสะอาดเพื่อการอุปโภค และบริโภคของมนุษย์ จึงต้องนำเอาน้ำที่มีคุณภาพดีมาผลิต รวมทั้งต้องมีการฆ่าเชื้อโรค จึงทำให้น้ำประปามีความปลอดภัยจากเรื่องโรคพยาธิที่จะมากับน้ำได้ นอกจากนั้นน้ำประปาส่วนใหญ่ยังมีการใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างของน้ำ ทำให้น้ำมีความกระด้างและมีความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลา สรุปได้ว่าข้อดีของน้ำประปาในการเลี้ยงปลาสวยงาม คือ ใส ปราศจากโรคพยาธิ และมีคุณสมบัติเหมาะสม
แต่น้ำประปาก็มีปัญหาบางประการในการใช้ คือ น้ำประปาที่พึ่งเปิดออกจากท่อประปามาใหม่ๆนั้น จะมีปัญหาที่สำคัญ 3 ประการ คือ
2.1.1 ปริมาณของคลอรีน ซึ่งใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในขบวนการผลิต จะยังคงเหลือตกค้างอยู่ในน้ำ ซึ่งมักจะมีความเข้มข้นอยู่ประมาณ 0.5 - 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(ppm) หากปล่อยปลาลงเลี้ยงทันที หรือเปิดใส่ให้ปลาทันทีทันใด ปริมาณของคลอรีนที่มีอยู่ในน้ำจะมีผลทำให้ปลาตาย ซึ่งเป็นปัญหาที่พบกันอยู่เสมอ ดังนั้นหากต้องการนำน้ำประปาไปใช้เลี้ยงปลาสวยงาม จะต้องทำการกำจัดคลอรีนที่ตกค้างออกก่อน ดังนี้
(1) รองน้ำประปาใส่ภาชนะทิ้งไว้ ควรเป็นภาชนะปากกว้าง เช่น โอ่งน้ำ หรือถังไฟเบอร์ ปล่อยไว้ประมาณ 2 - 3 วัน ถ้าสามารถตั้งให้รับแสงแดดจะใช้เวลา 1 - 2 วัน คลอรีนจะระเหยออกจากน้ำหมดไปเอง
(2) รองน้ำประปาใส่ภาชนะโดยทำให้น้ำกระจายตัวออกให้มากที่สุด ซึ่งทำได้โดยการปล่อยน้ำผ่านฝักบัว หรือใช้สายยางต่อจากปลายก๊อกแล้วบีบปลายสายยางให้น้ำกระจายออก หรือใช้เศษท่อเอสล่อนสั้นๆเจาะรูหลายๆรูต่อปลายสายยางแทนฝักบัว ปล่อยน้ำให้ตกเหนือปากภาชนะ การที่พยายามทำให้น้ำกระจายตัว จะช่วยไล่คลอรีนออกจากน้ำไปได้มากจากนั้นปล่อยน้ำไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง คลอรีนจะระเหยหมดไป
(3) รองน้ำประปาใส่ภาชนะ แล้วใช้เครื่องให้อากาศ (Air Pump) ปั๊มอากาศผ่านหัวทรายเป็นฟอง ซึ่งจะทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียนตลอดเวลาด้วย วิธีนี้จะใช้เวลาเพียง 4 - 6 ชั่วโมง แล้วแต่ความแรงของเครื่องให้อากาศ คลอรีนจะระเหยหมดไป
(4) ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำประปาอย่างเร่งด่วน จะต้องใช้สารเคมีใส่ลงไปเพื่อทำปฏิกริยาเคมีทำให้คลอรีนที่ตกค้างอยู่หมดไป สารเคมีที่จะใช้จะต้องไม่มีผลตกค้างหรือก่อผลข้างเคียงอย่างอื่นอีก ซึ่งสารเคมีที่นิยมใช้ทำปฏิกริยากับคลอรีนในน้ำประปาในปัจจุบันได้แก่ สารโซเดียมไธโอซัลเฟต (Na2S2O3 . 5H2O) สารนี้มีลักษณะเป็นเกล็ดยาวและเป็นเหลี่ยมผลึกใส เวลาใส่ลงในน้ำจะให้ความเย็น เมื่อละลายลงในน้ำที่มีคลอรีนจะเกิดปฏิกริยากับคลอรีนทันที ดังสมการต่อไปนี้
Cl2 + 2 Na2S2O3 .5H2O
Na2S4O6 + 2 NaCl + 10 H2O

สารโซเดียมไธโอซัลเฟตสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ หรือร้านขายปลาสวยงาม อัตราการใช้โดยทั่วไปจะใช้ปริมาณ1เกล็ด(เม็ด) ต่อน้ำ 5 ลิตร หรือตู้ปลาขนาด 18 นิ้ว จะใส่ 6 เม็ด และตู้ปลาขนาด 24 นิ้วจะใส่ 10 เม็ด
2.1.2 การสะสมก๊าซภายในน้ำ น้ำประปาที่ถูกส่งจากสำนักงานประปาไปตามท่อเพื่อส่งไปยังสถานที่ต่างๆนั้น ในระหว่างที่น้ำไหลไปตามท่อจะเกิดแรงดันทำให้มีก๊าซต่างๆถูกสะสมอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก จะสังเกตได้ว่าเมื่อเปิดน้ำประปาใส่ภาชนะสักครู่จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น โดยเกิดเป็นฟองอากาศเม็ดเล็กๆเกาะอยู่ตามผนังภาชนะ ถ้าเป็นตู้กระจกจะสังเกตได้ชัดเจนมาก แรงดันของก๊าซที่สะสมในน้ำประปานี้จะมีผลต่อปลา โดยจะไปทำให้กล้ามเนื้อของปลาเกิดการขยายตัว กล้ามเนื้อส่วนใดที่อ่อนจะถูกดันให้เกิดการขยายตัวได้ง่าย เช่นที่บริเวณท้องและบริเวณกล้ามเนื้อตาของปลา จึงมักทำให้ปลาเสียการทรงตัวแล้วตาย หรือทำให้ปลาตาปูดโปนออกมา ทำให้ปลามีอาการอักเสบที่ตาแล้วปลามักจะตาบอด วิธีการกำจัดก๊าซที่สะสมในน้ำทำได้ไม่ยากนัก คือในขณะรองน้ำประปาใส่ภาชนะพยายามให้น้ำมีการกระจายตัวออกให้มากที่สุด โดยการเปิดผ่านฝักบัวหรือบีบสายยางฉีดน้ำเหนือภาชนะตลอดเวลา จากนั้นอาจใช้เครื่องให้อากาศปั๊มอากาศเป็นฟองหมุนเวียนอยู่ประมาณ 30 - 60 นาที ก็จะกำจัดก๊าซต่างๆออกได้หมด
2.1.3 ความเป็นกรดของน้ำประปา จากขบวนการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้สารส้ม เพื่อทำให้เกิดการจับตัวของตะกอนและสารแขวนลอยต่างๆ จากนั้นจึงไปผ่านระบบกรองเพื่อทำให้น้ำใส ผลของการใช้สารส้มจะทำให้น้ำมีคุณสมบัติเป็นกรด ถึงแม้ในระบบการผลิตน้ำประปาจะมีการใช้ปูนขาวเพื่อปรับระดับความเป็นกรดให้มีค่าต่ำลง จนอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อผู้บริโภคและไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อปลา แต่จากประสบการณ์ที่เคยใช้น้ำประปาเลี้ยงปลาสวยงามและเลี้ยงปลาทดลองต่างๆ พบว่าน้ำประปาที่ผ่านการดำเนินการกำจัดคลอรีนและก๊าซต่างๆแล้ว ในบางครั้งจะยังเกิดปัญหาทำให้ปลาตายได้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าน้ำยังมีสภาพความเป็นกรดเหลืออยู่ แสดงว่าการผลิตน้ำประปาในบางครั้งอาจใส่ปูนขาวไม่มากพอที่จะปรับความเป็นกรดให้อยู่ในระดับปกติได้ จำเป็นที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจะต้องหาทางป้องกันไว้ โดยการเติมปูนขาว หรือปูนแดง(ปูนที่ใช้กินหมาก) ประมาณ 1 ใน 3 ช้อนชา ต่อน้ำ 100 ลิตร ลงในถังพักน้ำ
2.2 น้ำธรรมชาติ เป็นน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือจากระบบชลประทาน ผู้เลี้ยงปลาสวยงามที่เน้นดำเนินกิจการเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเป็นหลักจำเป็นต้องใช้ เพราะส่วนใหญ่ในแต่ละวันต้องใช้น้ำในปริมาณที่มาก เนื่องจากมีพื้นที่มาก คือ อาจมีทั้งบ่อซีเมนต์ และบ่อดิน โดยทั่วไปน้ำประเภทนี้จะไม่ใส แต่เป็นน้ำที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการดำรงชีพของปลา ซึ่งปัญหาที่พบในการใช้น้ำธรรมชาติคือ
2.2.1 อาจมีโรคหรือพยาธิติดมากับน้ำ โดยเฉพาะพวกพยาธิภายนอก เช่น เห็บปลา หนอนสมอ ปลิงใส และเห็บระฆัง ซึ่งมักจะทำลายเนื้อเยื่อปลา แล้วมีผลทำให้ปลาเกิดโรคระบาดติดตามมา วิธีการแก้ไขทำได้โดยการใช้ระบบบ่อกรองน้ำ โดยน้ำธรรมชาติที่จะนำเข้ามาใช้ควรนำไปผ่านบ่อกรองน้ำลักษณะซึมบ่อทราย หรือระบบบ่อกรองน้ำ ก็จะสามารถป้องกันพยาธิภายนอกไว้ได้ นอกจากนั้นในช่วงฤดูหนาวซึ่งมักเกิดโรคระบาดปลา หรือในบริเวณนั้นมีฟาร์มสัตว์น้ำค่อนข้างมาก ก็อาจมีการระบาดของโรคต่างๆมากับน้ำได้ ต้องทำการแก้ไขโดยใช้บ่อพักน้ำ คือน้ำจากบ่อกรองจะยังไม่นำไปใช้โดยทันที แต่ควรนำไปเก็บไว้ในบ่อพักน้ำประมาณ 5 - 7 วัน จะทำให้ตัวอ่อนของโรคต่างๆที่ติดมาตายไป ก็จะนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัย
2.2.2 น้ำขุ่น ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีการชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำจะมีตะกอนขุ่นข้นจนไม่สามารถนำไปเลี้ยงปลาได้ วิธีการแก้ไขก็โดยการใช้บ่อกรองน้ำเช่นกัน แต่จะต้องหมั่นทำความสะอาดวัสดุกรองบ่อยๆ เพราะปริมาณตะกอนจะค่อนข้างมาก
2.2.3 ปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ฟาร์มปลาสวยงามที่อยู่ในเขตชลประทาน หรือใช้แหล่งน้ำขนาดเล็ก มักประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเหมาะสำหรับการเพาะและอนุบาลลูกปลา ควรที่จะต้องมีบ่อพักน้ำเพื่อสำรองน้ำเก็บไว้
2.3 น้ำบาดาล เป็นน้ำใต้ดินที่ถูกนำขึ้นมาใช้ เหมาะสำหรับฟาร์มปลาสวยงามที่มีกิจการไม่มากนัก หรือรังปลา(ร้านขายส่งปลา) ซึ่งมักตั้งอยู่แถวชานกรุงเทพฯ จะมีการใช้น้ำในปริมาณค่อนข้างมากในแต่ละวันเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีน้ำประปาส่งไปถึง แต่การแก้ไขปัญหาในน้ำประปาที่จำเป็นต้องใช้เป็นปริมาณมากในแต่ละวันนั้นทำได้ยาก จึงจำเป็นต้องนำน้ำบาดาลเข้ามาใช้ คุณสมบัติของน้ำบาดาลนั้นจะใสและสะอาดเช่นเดียวกับน้ำประปา อีกทั้งยังไม่มีคลอรีนตกค้างอยู่ในน้ำ แต่น้ำบาดาลก็มีปัญหาที่ต้องพิจารณาดังนี้
2.3.1 ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด น้ำบาดาลจะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก และจะไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลย หากนำไปใช้เลี้ยงปลาสวยงามทันทีจะทำให้ปลาตายได้ วิธีการแก้ไขคือใช้บ่อหรือถังพักน้ำขนาดไม่ใหญ่มากนัก เมื่อสูบน้ำบาดาลขึ้นมาจะปล่อยลงถังพัก โดยปล่อยน้ำให้มีการกระจายตัวมากที่สุด ซึ่งวิธีที่นิยมใช้คือใช้ฝักบัว และให้ฝักบัวอยู่สูงจากปากถังพักน้ำพอควร ในระหว่างที่น้ำกระจายตัวออกจากฝักบัวก่อนตกลงที่ผิวน้ำในถังพัก ก็จะรับออกซิเจนจากอากาศละลายเข้าไปในน้ำ ในขณะเดียวกันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ระเหยออกสู่อากาศ น้ำบาดาลในถังพักจะสามารถปล่อยไปเลี้ยงปลาสวยงามได้ทันที จึงไม่ต้องเสียเวลารอพักน้ำบาดาล
2.3.2 คุณสมบัติของน้ำบาดาล ถึงแม้น้ำบาดาลโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลา แต่น้ำบาดาลในบางพื้นที่อาจมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ทำให้ปลาเจริญเติบโตช้าหรือไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ คุณสมบัติที่สำคัญของน้ำบาดาลที่พบว่าอาจก่อปัญหาให้แก่ปลา ได้แก่ ความเป็นกรดด่าง(pH) และความเค็ม ดังนั้นก่อนดำเนินการเจาะและติดตั้งเครื่องเพื่อการใช้น้ำบาดาล ควรมีการเจาะน้ำเพื่อตรวจสอบความเป็นกรดด่าง และความเค็มของน้ำก่อน เมื่อพบว่าไม่มีผลต่อปลาจึงค่อยดำเนินการถาวร
สำหรับการใช้น้ำบาดาลในปัจจุบันมักก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด จึงมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้น้ำบาดาล ผู้ที่จะดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลจะต้องขออนุญาตจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก่อน มิฉะนั้นจะมีความผิดทางกฎหมาย
2.4 น้ำฝน ในสมัยก่อนนิยมใช้น้ำฝนในการเลี้ยงปลาสวยงาม เนื่องจากถือว่าเป็นน้ำที่มีคุณภาพดีมาก มีความใสสะอาดจนสามารถบริโภคได้ แต่ในปัจจุบันมีปัญหามลพิษทางอากาศเนื่องจากความเจริญของบ้านเมือง ก่อปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆในอากาศค่อนข้างมาก ทำให้น้ำฝนจะมีการซึมซับสารพิษต่างๆไว้ในขณะที่ตกลงมา มีผลทำให้น้ำฝนมีคุณสมบัติเป็นกรดค่อนข้างรุนแรง การใช้น้ำฝนเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบันจึงมักทำให้ปลาตาย หรือมีสีสันซีดลง ยกเว้นถ้ารองน้ำฝนในวันที่มีฝนตกหนัก และรองภายหลังจากที่ฝนตกไปแล้วระยะหนึ่ง จึงอาจนำน้ำฝนนั้นมาเลี้ยงปลาได้ แต่ถ้าหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรเสี่ยงที่จะนำน้ำฝนมาใช้เลี้ยงปลา
3. คุณสมบัติของน้ำที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีพของปลา
คุณสมบัติของน้ำที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจริญเติบโตของปลา หรือการดำรงชีพของปลานั้น จะมีทั้งคุณสมบัติทางด้านกายภาพ (Physical Condition) ทางด้านเคมี (Chemical Condition) และทางด้านชีววิทยา (Biological Condition) ซึ่งมักจะมีความสัมพันธ์กัน หากคุณสมบัติด้านใดด้านหนึ่งไม่เหมาะสม ก็จะส่งผลกระทบไปถึงปลาได้ทันที อาจทำให้ปลาแคระแกรน อ่อนแอป่วยเป็นโรคได้ง่าย หรือไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ดังนั้นผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังควบคุมคุณสมบัติของน้ำ และพยายามปรับสภาพของน้ำให้เหมาะสมต่อการดำรงชีพของปลาอยู่เสมอ
3.1 คุณสมบัติของน้ำทางด้านกายภาพ
3.1.1 สีของน้ำ สีของน้ำที่ปรากฎแก่สายตาจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
- สีจริง (True Color) เป็นสีที่เกิดจากสารละลายต่างๆที่ละลายในน้ำ ในระยะแรกอาจมองไม่เห็น จนเมื่อมีการสะสมมากขึ้นจึงสังเกตได้ เช่นอาหารปลาบางชนิดจะมีการละลายทำให้น้ำออกเป็นสีเหลือง สีจริงที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถแยกออกจากน้ำโดยการกรอง
- สีปรากฎ (Apparent Color) เป็นสีที่สามารถมองเห็นได้ง่าย ส่วนใหญ่เกิดจากตะกอนและสารแขวนลอย รวมทั้งแพลงตอนต่างๆ หรืออาจเกิดจากการสะท้อนแสง
การเลี้ยงปลาสวยงามนั้นน้ำที่มองเห็นในตู้เลี้ยงปลาสวยงามมักจะเป็นสีจริง เนื่องจากการเลี้ยงปลาสวยงามเน้นที่ความใสของน้ำ มีการใช้ระบบกรองน้ำที่ดีและได้รับแสงน้อยจึงไม่มีตะกอนและแพลงตอนเกิดขึ้น สีของน้ำไม่มีผลต่อตัวปลาโดยตรงแต่จะช่วยบ่งบอกได้ถึงความผิดปกติหากความใสของน้ำมีการเปลี่ยนแปลงไป
3.1.2 อุณหภูมิ อุณหภูมิของน้ำมีผลต่อการดำรงชีพของปลาค่อนข้างมาก เพราะปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิของร่างกายปลาหรือขบวนการเผาผลาญอาหารภายในร่างกายจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของน้ำ ดังนั้นในช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำหรือในฤดูหนาวขบวนการต่างๆในตัวปลาจะลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการยับยั้งการเจริญเติบโต การกินอาหาร และการแพร่พันธุ์ของปลา ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในเขตร้อนมีศักยภาพการเจริญเติบโตของปลาดีกว่าในแถบอื่นตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ก็มีช่วงฤดูหนาวซึ่งกินเวลาประมาณ 1 - 2 เดือน ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นระยะเวลาที่มากพอที่จะก่อความเสียหายแก่ปลาที่เลี้ยงได้ ผู้เลี้ยงปลาจะต้องลดปริมาณอาหารที่เคยให้ลง และคอยระวังเรื่องการเกิดโรคระบาด เพราะจากการที่ปลากินอาหารลดลงทำให้สภาพร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง จะทำให้ปลาป่วยหรือติดเชื้อต่างๆได้ง่าย จึงพบว่ามักจะเกิดปัญหาโรคระบาดสัตว์น้ำในฤดูหนาวอยู่เสมอ
สำหรับการเลี้ยงปลาสวยงามซึ่งพบปัญหาปลาเกิดโรคระบาดและปลาตายในฤดูหนาวอยู่เสมอ แต่เนื่องจากเป็นการเลี้ยงที่ใช้พื้นที่ไม่มากนัก จึงสามารถที่จะทำการควบคุมอุณหภูมิของน้ำในตู้เลี้ยงปลาได้ โดยใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิ (Heater) ก็สามารถควบคุมให้น้ำมีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับปลาได้ ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับปลาโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 27 - 32 องศาเซลเซียส การควบคุมอุณหภูมิจะช่วยให้ปลากินอาหารได้ตามปกติ ทำให้ปลาแข็งแรงสุขภาพดี จึงเป็นวิธีการช่วยป้องกันการเกิดโรคระบาดได้อย่างดี
3.1.3 ความขุ่นของน้ำ หมายถึงปริมาณสารแขวนลอยที่อยู่ในน้ำ ความขุ่นของน้ำจะมีผลต่อการบดบังแสง ทำให้ความสมบูรณ์ของบ่อปลาลดลงและยังมีผลอุดตันระบบหายใจ มักทำให้ปลาขนาดเล็กและไข่ปลาตายได้
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกจะไม่พบปัญหาน้ำขุ่น ยกเว้นพวกที่ดำเนินกิจการฟาร์มเลี้ยงปลาสวยงามและใช้น้ำธรรมชาติเป็นหลัก โดยจะพบปัญหาน้ำขุ่นในช่วงฤดูฝน หากไม่แก้ไขก็จะทำให้การเพาะและอนุบาลลูกปลาล้มเหลว การแก้ไขจะสามารถทำได้โดยใช้ระบบบ่อกรองน้ำหรือบ่อพักน้ำขนาดใหญ่ นอกจากนั้นหากต้องการตกตะกอนน้ำเพื่อต้องการน้ำค่อนข้างใส ก็อาจกระทำโดยใช้บ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่มีความจุประมาณ 40 - 50 ลูกบาศก์เมตร แล้วใช้สารส้มปริมาณ10ส่วนในล้านส่วน (ppm) หรือคิดเทียบเท่ากับ 100 กรัม (1ขีด) ต่อน้ำ 10 ลูกบาศก์เมตร (น้ำ1ลูกบาศก์เมตรมีปริมาตรเท่ากับ 1,000 ลิตร หรือมีน้ำหนักเท่ากับ 1,000 กิโลกรัม) คำนวณหาปริมาตรน้ำในบ่อพักน้ำแล้วมาเทียบหาปริมาณสารส้มที่ต้องใช้
ตัวอย่าง - บ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยม มีขนาด กว้าง 4 เมตร ยาว 10 เมตร ใส่น้ำได้ลึก 1 เมตร
บ่อจะมีปริมาตร = กว้าง X ยาว X ลึก
= 4 X 10 X 1 = 40 ลูกบาศก์เมตร
จะใช้สารส้ม = 100 X 40/10 = 400 กรัม
.
- บ่อซีเมนต์กลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 เมตร ใส่น้ำได้ลึก 1 เมตร
บ่อจะมีปริมาตร = ¶ x r x r x h
= 22/7 X 4 X 4 X 1
= 50.3 ลูกบาศก์เมตร
จะใช้สารส้ม = 100 X 50.3/10 = 503 กรัม
เมื่อชั่งสารส้มได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ควรนำมาทุบให้เป็นก้อนเล็กๆเพื่อให้ละลายน้ำได้ง่าย ก่อนละลายน้ำควรใช้ผ้าห่อหรือใส่ในกระชอน แล้วจึงนำไปละลายน้ำ จะทำให้ละลายสารส้มได้หมด จากนั้นใช้เครื่องสูบน้ำแบบจุ่ม(ปั๊มจุ่มหรือไดรโว่)ปั๊มน้ำในบ่อให้หมุนเวียนประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นทิ้งน้ำไว้ 1 - 2 วัน น้ำจะตกตะกอนมีความใสเกือบเท่าน้ำประปา นำไปใช้เลี้ยงปลาได้ดี
.
3.2 คุณสมบัติของน้ำทางด้านเคมี
3.2.1 ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ มักนิยมเรียกว่า “pH” หมายถึงค่าความเข้มข้นของไฮโดรเจนอิออน (H+)ที่อยู่ในน้ำ ค่า pH ของน้ำจะอยู่ระหว่าง 0 - 14 โดยมีค่าเป็นกลางที่ pH 7 ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส สำหรับน้ำธรรมชาติโดยทั่วไปจะมีค่า pH อยู่ระหว่าง 5 - 9
ตารางที่ 1 แสดงระดับค่าของ pH ที่มีผลต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำจืด
ระดับค่าของ pH
|
ผลต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำ
|
4.0 หรือต่ำกว่า
|
เป็นอันตรายมักทำให้ปลาตาย
|
4.1 - 6.0
|
ปลาบางชนิดตาย
|
ปลาที่ไม่ตาย จะมีการเจริญเติบโตช้า ผลผลิตต่ำ
| |
ระบบสืบพันธุ์ไม่เจริญ
| |
6.5 - 9.0
|
เหมาะสมต่อการดำรงชีพของสัตว์น้ำ
|
9.1 - 11.0
|
การเจริญเติบโตช้า ผลผลิตต่ำ
|
11.1 ขึ้นไป
|
เป็นอันตรายต่อปลา
|
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกมักไม่มีปัญหาเรื่องความเป็นกรดของน้ำ เนื่องจากมีการให้ออกซิเจนและมีการใช้เศษหินปะการังในระบบกรองน้ำ แต่จะเกิดปัญหาเรื่องความเป็นด่าง คือผู้เลี้ยงปลามักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำให้มีการสะสมแอมโมเนียจากการขับถ่ายและการย่อยสลายของเศษอาหารมากขึ้น ประกอบกับน้ำมีการหมุนเวียนผ่านเศษปะการังตลอดเวลา จึงทำให้น้ำมีความเป็นด่างสูงขึ้น ถึงแม้จะไม่มีผลทำให้ปลาตาย แต่ก็มักจะทำให้ปลามีสีสันซีดจางลง วิธีการแก้ไขทำโดยการหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำ
3.2.2 ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ มักเรียกย่อๆว่า DO (Dissolved Oxygen) การหายใจของปลาส่วนใหญ่จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีออกซิเจนละลายอยู่ในน้ำ ซึ่งในธรรมชาติการละลายของออกซิเจนเกิดได้ 2 ทาง คือ
- การละลายจากอากาศที่ผิวน้ำ จะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นกับขนาดบ่อและความแรงของลม คือลมจะทำให้น้ำเกิดคลื่น และในระหว่างที่คลื่นน้ำเคลื่อนจากริมบ่อทางต้นลมไปถึงริมบ่อทางท้ายลม ก็จะละลายเอาออกซิเจนจากอากาศไปเรื่อยๆ ขนาดของบ่อจะมีความสำคัญมาก คือถ้าบ่อขนาดใหญ่จะมีการเกิดคลื่นได้ง่าย ถึงแม้ลมจะไม่แรง สังเกตได้จากอ่างเก็บน้ำหรือทะเลจะมีคลื่นตลอดเวลา และคลื่นเคลื่อนที่เป็นระยะทางไกล บ่อขนาดใหญ่จึงไม่ค่อยพบปัญหาการขาดออกซิเจน
- การสังเคราะห์แสงของแพลงตอนพืชและพืชน้ำ ในเวลากลางวันแพลงตอนพืชและพืชน้ำจะเกิดขบวนการสังเคราะห์แสง ดึงเอาธาตุอาหารที่ละลายอยู่ในน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ จากนั้นจะให้ก๊าซออกซิเจนออกมา จัดว่าเป็นการช่วยรักษาสมดุลย์ในระบบนิเวศน์ได้ด้วย แต่วิธีนี้อาจเกิดปัญหาเพราะในเวลากลางคืนทั้งแพลงตอนพืชและพืชน้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสง และจำเป็นต้องการใช้ออกซิเจนเช่นกัน ดังนั้นหากมีแพลงตอนพืชหรือพืชน้ำมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดการขาดแคลนออกซิเจนในเวลากลางคืนได้ ซึ่งมักพบว่าปลามีการ“ลอยหัว” คืออาการที่ปลาลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำและอ้าปากฮุบอากาศที่ผิวน้ำเกือบตลอดเวลา โดยมักเกิดตอนใกล้รุ่ง
สำหรับการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นการเลี้ยงปลาในพื้นที่จำกัดเล็กๆ น้ำใสสะอาด ไม่มีแพลงตอน และมักไม่ปลูกพรรณไม้น้ำ การละลายของออกซิเจนที่ผิวน้ำแทบจะไม่สามารถเกิดได้เลย ดังนั้นเมื่อปล่อยปลาลงเลี้ยงในตู้ปลาประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง ปลาจะใช้ออกซิเจนหมดไปโดยไม่มีการละลายของ ออกซิเจนเพิ่มเติม ทำให้ปลาลอยหัวและอาจถึงตายได้ ดังนั้นเครื่องเพิ่มปริมาณการละลายของออกซิเจนหรือ “แอร์ปั๊ม” จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเลี้ยงปลาสวยงาม ผู้เลี้ยงปลาแทบทุกรายจึงต้องซื้อแอร์ปั๊มไปใช้เพิ่มออกซิเจนในตู้เลี้ยงปลา มิฉะนั้นปลาที่เลี้ยงจะไม่ค่อยกินอาหาร ทำให้แคระแกรน สีซีดจาง อ่อนแอติดโรคได้ง่าย หรืออาจขาดออกซิเจนจนถึงตายได้ ยกเว้นปลาบางชนิดจะมีอวัยวะช่วยหายใจ ทำให้สามารถใช้ออกซิเจนจากอากาศได้ โดยในขณะที่น้ำมีออกซิเจนน้อยปลาจะขึ้นฮุบอากาศที่ผิวน้ำ แล้วนำออกซิเจนจากอากาศไปใช้ในการหายใจได้ จึงทำให้ปลาเหล่านี้มีความสามารถอยู่ในน้ำเสีย หรือหมกตัวอยู่ในโคลนตมได้ดีกว่าปลาชนิดอื่น ตัวอย่างเช่น ปลาหางนกยูง ปลากัด ปลากระดี่ชนิดต่างๆ ปลาหมอตาล ปลาชะโด ปลาดุก และปลาแรด แต่ถึงแม้ปลาเหล่านี้จะทนทาน ถ้านำมาเลี้ยงในตู้ปลาก็ยังจำเป็นต้องใช้เครื่องแอร์ปั๊มเพิ่มออกซิเจน เพราะการที่น้ำมีออกซิเจนสูงจะทำให้ปลาสดชื่น กินอาหารเก่ง เติบโตเร็ว สีสันสดใส และเจริญพันธุ์ได้ดี
3.2.3 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นก๊าซที่ปลาไม่ต้องการ เมื่อมีมากจะแทรกซึมเข้ากระแสเลือดทำให้ปลาตาย ในธรรมชาติการเกิดของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะมาจากการหายใจของพืชและสัตว์ และการสลายของอินทรียสาร แต่ในเวลากลางวันแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำจะนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ในการสังเคราะห์แสง ส่วนในเวลากลางคืนจะมีการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ในบ่อขนาดใหญ่ซึ่งมีการเกิดคลื่นที่ผิวน้ำอยู่เสมอ ก็จะมีการละลายของออกซิเจนทำให้ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ไม่สูงมากนัก เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยออกจากน้ำสู่อากาศได้ง่าย เนื่องจากอากาศมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่น้อยมาก แต่บ่อขนาดเล็กมีการละลายของออกซิเจนค่อนข้างน้อย จึงมีการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อยๆ
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้ปลาก็จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดขึ้นจากการหายใจและการหมักหมมของเศษอาหาร แต่ไม่มีปัญหาเพราะระเหยออกสู่อากาศเนื่องจากการใช้แอร์ปั๊ม และในระบบกรองน้ำยังช่วยควบคุมคาร์บอนไดออกไซด์โดยจะไปทำปฏิกริยากัเศษปะการัง เกิดเป็นสารประกอบไบคาร์บอเนต (HCO3-)ละลายอยู่ในน้ำ โดยไม่เป็นพิษต่อปลา ตู้ปลาที่มีการหมักหมมมาก ถ้าเครื่องแอร์ปั๊มเกิดขัดข้องปลามักจะลอยหัวและตายในเวลาอันรวดเร็ว ผู้เลี้ยงปลาจะต้องหมั่นขจัดสิ่งหมักหมมและไม่ให้อาหารมากจนเกินไป นอกจากนั้นยังควรสำรองแอร์ปั๊มที่ใช้แบตเตอรี่ไว้ด้วย
3.2.4 สารประกอบไนโตรเจน มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของปลา โดยจะขึ้นกับชนิดของสารประกอบ ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพของปลามาก ได้แก่ แอมโมเนีย (NH3) ไนไตรท์ (NO2-) และไนเตรท (NO3-) ซึ่งสารประกอบทั้ง 3ชนิดจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปมา เนื่องจากขบวนการต่างๆ
ในธรรมชาติแอมโมเนียจะเกิดจากการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและการขับถ่ายของเสียจากตัวปลา ซึ่งจะพบได้ 2 รูปแบบ ดังสมการ
NH3 + H2O
NH4+ + OH-

NH4+ที่เกิดมีการแตกตัวได้ง่ายและไม่เป็นพิษ มักพบในรูปของเกลือแอมโมเนียมคลอไรด์ หรือเกลือแอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งมีประโยชน์ต่อแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำ ส่วน NH3 ที่เกิดจะไม่แตกตัวและเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ โดยจะแพร่เข้าผนังเซลล์ได้ง่าย การใช้อาหารปลาที่มีโปรตีนสูงและให้อาหารปลามากเกินไป เศษอาหารจะทำให้มีการสะสมแอมโมเนียมากขึ้น จนอาจถึงระดับที่มีความเป็นพิษต่อปลาได้อย่างรวดเร็ว ปลาจะชะงักการเจริญเติบโต และเหงือกอาจถูกทำลายได้ง่าย
สำหรับไนไตรท์และไนเตรทจะเกิดจากขบวนการย่อยสลายแอมโมเนียของพวกแบคทีเรีย โดยในสภาพปกติหรือน้ำค่อนข้างเป็นด่างก็จะทำให้เกิดไนเตรท ซึ่งมีประโยชน์ต่อแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำอย่างยิ่ง เพราะนำไปใช้ได้ง่าย แต่ถ้าสภาพน้ำเป็นกรดก็จะทำให้เกิดไนไตรท์มาก ซึ่งมีความเป็นพิษต่อปลา
ในธรรมชาติสารประกอบไนโตรเจนมักพบในรูปของไนเตรท เพราะขบวนการย่อยสลายแอมโมเนียเกิดได้ง่าย จากนั้นแพลงตอนพืชและพรรณไม้น้ำจะนำเอาไนเตรทที่เกิดขึ้นไปใช้ จึงทำให้เกิดสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ แต่สำหรับการเลี้ยงปลาสวยงาม การสะสมของเศษอาหารและของเสียต่างๆมีมากอยู่ในระบบกรองน้ำ ทำให้เกิดการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนได้เสมอ แต่ไม่มีพืชน้ำหรือแพลงตอนพืชที่จะคอยนำสารประกอบเหล่านี้ไปใช้ ผู้เลี้ยงปลาเองก็มักไม่ทราบว่ามีสารประกอบไนโตรเจนสะสมอยู่ในตู้เลี้ยงปลา เพราะมองเห็นน้ำใสและปลาส่วนใหญ่ก็ดูเป็นปกติดี แต่เมื่อปล่อยไปนานๆเข้าปลาจะมีสีสันซีดจางลง ไม่กระตือรือร้นหรือสดชื่นเหมือนเดิม และมักเกิดโรคตายไปในที่สุด วิธีการป้องกันและแก้ไขการสะสมของสารประกอบไนโตรเจนที่ดีที่สุด คือ การเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้แก่ปลาบ่อยๆและกระทำอย่างสม่ำเสมอ
3.2.5 ความเค็มของน้ำ หมายถึงปริมาณของของแข็งหรือเกลือแร่ต่างๆที่ละลายอยู่ในน้ำ โดยเฉพาะเกลือแกง ความเค็มมีผลต่อการดำรงชีวิตของปลา ปลาส่วนใหญ่จึงมีความเจาะจงอยู่ในน้ำจืดหรือน้ำเค็มอย่างเด่นชัด แต่ก็มีปลาหลายชนิดที่สามารถปรับตัวได้ดีสามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม เช่น ปลากะพงขาว ปลาตะกรับ(ปลาเสือดาว) และปลาเฉี่ยว (ปลาเทวดาบอร์เนียว) ปลาส่วนใหญ่จะสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มได้ประมาณ 5 ส่วนในพันส่วน(ppt)
การเลี้ยงปลาสวยงามโดยทั่วไปจะไม่พบปัญหาด้านความเค็ม แต่มักใช้ประโยชน์จากความเค็มในการควบคุมดูแลสุขภาพปลา โดยมักนิยมเติมเกลือแกง 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 100 ลิตรเป็นประจำทุกเดือนๆละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ปลาได้รับเกลือแร่ซึมเข้าร่างกาย ช่วยให้ปลามีการขับเมือก จะทำให้ปลาสดชื่นขึ้น หรืออาจใช้เกลือแกงอัตรา 3 - 5 ppt ช่วยในการป้องกันและรักษาโรคปลา
ตัวอย่างการคำนวณ ตู้เลี้ยงปลามีขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร ความยาว 90 เซนติเมตร ใส่น้ำได้ระดับสูง 40 เซนติเมตร ต้องการป้องกันโรคปลาโดยการใส่เกลือแกงอัตรา 3 ppt จะต้องใส่เกลือแกงจำนวนเท่าใด
วิธีทำ คำนวณหาปริมาตรน้ำในตู้
จากสูตร ปริมาตร = กว้าง X ยาว X สูง
ปริมาตรน้ำในตู้ปลา = 40 X 90 X 40
= 144,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ทำให้เป็นลิตร 1 ลิตร = 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ปริมาตรน้ำในตู้ปลา = 144,000 / 1,000 ลิตร
= 144 ลิตร
ต้องการป้องกันโรคปลาโดยการใส่เกลือแกงอัตรา 3 ppt
3 ppt หมายถึง ปริมาตรน้ำ 1 ลิตร ต้องใส่เกลือ 3 กรัม
ปริมาตรน้ำในตู้ปลา 144 ลิตร จะใส่เกลือ = 3 X 144 กรัม
= 432 กรัม
นั่นคือจะต้องใส่เกลือแกงน้ำหนัก 432 กรัม (~ 4 ขีดครึ่ง หรือเกือบครึ่งกิโลกรัม)
.
3.2.6 สารพิษ ปัจจุบันแหล่งน้ำธรรมชาติมักจะมีการปนเปื้อนของสารเคมีชนิดต่างๆ ซึ่งมักมีอันตรายต่อสัตว์น้ำ สารพิษดังกล่าวมาจากโรงงานอุตสาหกรรม การเกษตรกรรม และของเสียจากครัวเรือน ยิ่งมีการพัฒนาหรือมีการขยายตัวของชุมชนมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งมีสารพิษตกค้างลงแหล่งน้ำธรรมชาติมากขึ้น สารพิษเหล่านี้จะมีผลทำให้การเจริญเติบโตของปลาลดลง ปลาขนาดเล็กและไข่ปลามักจะตาย นอกจากนั้นยังทำให้อาหารธรรมชาติที่จำเป็นของปลาลดลง
การเลี้ยงปลาสวยงามด้วยน้ำประปาจะไม่ประสบปัญหาทางด้านสารพิษ แต่สำหรับผู้ที่จะดำเนินกิจการฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม ซึ่งมีความจำเป็นต้องอาศัยน้ำธรรมชาติค่อนข้างมาก ควรเลือกพื้นที่ให้ห่างไกลจากชุมชนและห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม
.
3.3 คุณสมบัติของน้ำทางด้านชีวภาพ
3.3.1 พรรณไม้น้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่มักมีการนำมาเลี้ยงร่วมกับปลาสวยงาม เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ตู้ปลา และยังมีความสำคัญในการช่วยรักษาสมดุลย์ของคุณภาพน้ำ โดยจะนำเอาสารอาหารหรือสารประกอบที่เกิดจากการขับถ่ายของปลา และการย่อยสลายของเศษอาหาร เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ไบคาร์บอเนต ไนเตรท และแอมโมเนีย ไปใช้ ดังนั้นหากมีการปลูกพรรณไม้น้ำในตู้ปลาก็จะช่วยลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำได้ แต่ก็ไม่สามารถปลูกพรรณไม้น้ำร่วมกับปลาสวยงามได้ทุกชนิด เพราะปลาบางชนิดอาจทำลายพรรณไม้น้ำที่ปลูกได้ เช่น ปลาทอง ปลาคาร์พ ซึ่งมักหากินตลอดเวลาก็จะกัดแทะกินพรรณไม้น้ำไปเรื่อยๆจนทำให้พรรณไม้น้ำที่ปลูกตายไป สำหรับประโยชน์ของพรรณไม้น้ำในด้านอื่นๆคือ ปลาบางชนิดจะใช้พรรณไม้น้ำเป็นวัสดุในการวางไข่ เช่นปลาเสือสุมาตรา ปลาเซเป้ ปลานีออน และปลาแขยงหิน ตัวอ่อนของปลาที่ออกลูกเป็นตัวจะอาศัยพรรณไม้น้ำเป็นที่หลบซ่อนทำให้รอดพ้นจากการถูกจับกินได้
พรรณไม้น้ำที่มีความสวยงามและนิยมใช้ตกแต่งในตู้ปลาสวยงามได้แก่ สาหร่ายฉัตร สาหร่ายหางกระรอก อะเมซอนใบยาว อะเมซอนใบกลม
3.3.2 แพลงตอน เป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆในน้ำ ในธรรมชาติจะมีแพลงตอนเกิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยมีการเปลี่ยนแปลงชนิดและปริมาณไปตามคุณภาพน้ำ และฤดูกาล จัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยรักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ในแหล่งน้ำ มีความสำคัญคือเป็นอาหารของลูกปลาทุกชนิด ปกติแพลงตอนจะแยกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
· แพลงตอนพืช จะใช้ธาตุอาหารต่างๆที่ละลายอยู่ในน้ำไปใช้ในการสังเคราะห์แสง เช่นเดียวกับพวกพรรณไม้น้ำ แพลงตอนพืชจะเป็นอาหารของลูกปลาบางชนิดและแพลงตอนสัตว์ จึงถือว่าแพลงตอนพืชเป็นผู้ผลิตชั้นต้นของห่วงโซ่อาหาร
· แพลงตอนสัตว์ จะเติบโตโดยกินจุลินทรีย์และแพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์เป็นอาหารที่สำคัญของลูกปลาทุกชนิด รวมทั้งปลาเต็มวัยบางชนิดที่มีขนาดเล็กก็จะชอบกินแพลงตอนสัตว์ เช่น ปลากัด ปลาซิว ปลานีออน ปลาเทวดา ปลาสอด และปลาหางนกยูง
ในการเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกมักจะไม่มีแพลงตอนชนิดใดๆเกิดได้ แต่ถ้าหากวางตู้ให้ได้รับแสงแดดมากๆจะทำให้เกิดแพลงตอนพืชได้ จะมีผลทำให้น้ำในตู้ปลาเป็นสีเขียว การเลี้ยงปลาสวยงามโดยทั่วไปจึงนิยมวางตู้ปลาในห้องและตั้งไม่ให้ถูกแสงแดด แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องตั้งตู้ปลาในที่รับแสง อาจป้องกันการเกิดแพลงตอนพืชและตะไคร่น้ำโดยใช้สารเคมี “จุนสี” (คอปเปอร์ซัลเฟต) อัตรา 0.3 - 0.5 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร สำหรับแพลงตอนสัตว์ไม่พบว่าเกิดในตู้ปลา เพราะหากเกิดขึ้นก็จะถูกปลากินหรือถูกดูดเข้าไปติดในระบบกรองน้ำ แต่ผู้เลี้ยงปลามักจะต้องหามาเลี้ยงปลาสวยงามที่ยังจำเป็นต้องกินอาหารมีชีวิต
3.3.3 สัตว์หน้าดิน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักอาศัยอยู่ตามพื้นก้นแหล่งน้ำหรือก้นบ่อ ได้แก่ พวกแมลงน้ำ ตัวอ่อนของแมลง และพวกหอยต่างๆ ในธรรมชาติพวกแมลงน้ำและตัวอ่อนของแมลงจะเป็นทั้งศัตรูและอาหารของปลา ซึ่งจะแล้วแต่ชนิดของแมลงกับตัวอ่อนของแมลง รวมทั้งชนิดและวัยของปลาสวยงาม เช่น แมลงด้วงดิ่ง มวนวน และมวนกรรเชียงจะเป็นศัตรูที่คอยจับลูกปลากินเป็นอาหาร แต่ปลาหมอ ปลาปอมปาดัวร์ ปลาเทวดา และปลาเสือพ่นน้ำ ที่โตแล้วจะชอบไล่กินมวนวนและมวนกรรเชียง สำหรับตัวอย่างของตัวอ่อนของแมลง เช่น ตัวอ่อนของแมลงปอ จะเป็นศัตรูที่สำคัญของลูกปลา ส่านหนอนแดงซึ่งเป็นตัวอ่อนของแมลงริ้นน้ำจืด จะเป็นอาหารที่ดีของปลาเกือบทุกชนิด
การเลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกจะไม่พบสัตว์หน้าดิน เพราะแมลงไม่สามารถเข้าไปได้ ผู้เลี้ยงปลายังจำเป็นต้องหาซื้อมาเลี้ยงปลาสวยงามบางชนิด โดยเฉพาะหนอนแดง จะมีความจำเป็นสำหรับเลี้ยงปลาปอมปาดัวร์ ปลาเทวดา และปลากัด แต่ผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามที่ใช้น้ำธรรมชาติ และใช้บ่อขนาดใหญ่ จะต้องหมั่นตรวจสอบดูแมลงน้ำและตัวอ่อนของแมลง ที่อาจบินเข้ามา หรือเข้ามากับระบบน้ำ หรือเข้ามากับอาหารธรรมชาติที่ช้อนมาเลี้ยงปลาก็ได้
3.3.4 โรคและพยาธิต่างๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวรบกวนปลาและมีโอกาสเกิดขึ้นกับการเลี้ยงปลาสวยงามได้เสมอ จัดเป็นปัญหาที่สำคัญของการเลี้ยงปลาสวยงาม และที่สำคัญคือเป็นพวกที่มีความสามารถในการแพร่พันธุ์ขยายจำนวนได้รวดเร็ว ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่และศึกษาให้รอบคอบ เพื่อป้องกันโรคและพยาธิมิให้เกิดกับปลาสวยงามที่เลี้ยงได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น