วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ปลาเทวดา

       ปลาเทวดา  มีชื่อสามัญว่า  Angel  Fish เป็นปลาสวยงามน้ำจืดที่ได้รับความนิยมมานานแล้วเช่นกัน มักนิยมเลี้ยงในตู้กระจกและมีการตกแต่งหินประดับขนาดใหญ่ หรือขอนไม้ เนื่องจากจะช่วยให้ปลาเทวดาแลดูเด่นมากขึ้น โดยปลาจะชอบว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆกับก้อนหินและขอนไม้ และมักจะว่ายน้ำช้าๆพร้อมกับกางครีบต่างๆอยู่ตลอดเวลา ทำให้แลดูสง่างามมาก เป็นปลาที่มีนิสัยรักสงบ ไม่ไล่ทำร้ายกันหรือไล่รบกวนปลาชนิดอื่น ปกติชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ยกเว้นเมื่อจะแพร่พันธุ์วางไข่จะแยกตัวออกไปเป็นคู่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นๆในตู้เดียวกันได้ดี จัดเป็นปลาสวยงามที่มีราคาดีชนิดหนึ่ง และสามารถขายได้ตลอดปี
.
1.ประวัติของปลาเทวดา               
       ปลาเทวดามีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้แถบลุ่มน้ำอเมซอนและแม่น้ำโอริโนโก(Amazon  and  Orinoco  River) ในประเทศเวเนซูเอลา และบราซิล มักชอบอาศัยอยู่ตามบริเวณที่น้ำไหลไม่แรงมากนัก และมีพรรณไม้น้ำมาก อาหารธรรมชาติของปลาชนิดนี้ ได้แก่ ตัวอ่อนแมลงน้ำ ลูกน้ำ ไรน้ำ และแพลงตอนสัตว์ เป็นปลาที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศได้ดี โดยเฉพาะถ้าอากาศเป็นพิษปลาจะตายได้ง่าย ในสมัยก่อนจึงนำปลาเทวดาไปใช้เป็นตัวทดสอบก๊าซพิษในอุโมงค์เหมืองแร่ โดยจะหย่อนโถใส่ปลาเทวดาลงไปก่อน  แล้วดึงขึ้นมาถ้าปลาตายแสดงว่าในอุโมงค์มีก๊าซพิษ  แต่ถ้าปลาไม่ตายแสดงว่าปลอดภัยคนจะลงไปทำเหมืองได้ ซึ่งในธรรมชาติพบปลาเทวดาอยู่  3  ชนิด   
                                                                                                                                                                                  
2.ลักษณะรูปร่างของปลาเทวดา                 
       ปลาเทวดามีลำตัวแบบแบนข้าง  ความกว้างและความยาวของลำตัวมีความยาวเกือบเท่ากัน ครีบหลังและครีบก้นแผ่ขยายออกและค่อนไปทางหาง ครีบท้องมีลักษณะเป็นเส้นยาว ตากลมโต ปากขนาดเล็ก ลำตัวมีสีเงินแกมเทาและมีลายดำพาดขวางลำตัว  4 - 5  แถบ
              เนื่องจากเป็นปลาที่ได้รับความนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ทำให้มีการเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย และจากการเพาะเลี้ยงและคัดพันธุ์  ทำให้เกิดสายพันธุ์ (Variety)  ใหม่ๆและมีการตั้งชื่อต่างๆอีกหลายชื่อ   เช่น ปลาเทวดาเงิน (Silver  Angelfish) ปลาเทวดาดำ (Black Angelfish) ปลาเทวดาลายม้าลาย (Zebra  Angelfish)   ปลาเทวดาลายหินอ่อน(Marble  Angelfish) ปลาเทวดาสีเทา  (Gray  Angelfish)  ปลาเทวดาสีชอกโกเลต (Chocolate  Angelfish)  ปลาเทวดาลายดำครึ่งตัว(Half Black Angelfish)  ปลาเทวดาขาว (White  or  Ghost  Angelfish)   ปลาเทวดาทอง (Gold  Angelfish)   ปลาเทวดาลายจุด (Spotled  Angelfish) และ Koi  Angelfish ถึงแม้ปลาเทวดาจะเป็นปลาจากต่างประเทศ แต่นักเพาะเลี้ยงปลาสวยงามในบ้านเราก็สามารถดำเนินการเพาะพันธุ์ และผลิตลูกปลาเทวดาชนิดต่างๆภายในประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก  
.
ภาพที่ 1 ลักษณะภายนอกของปลาเทวดา
ที่มา : ดัดแปลงจาก Free-pet-wallpapers.com Atlantis-jj.com (2012)
.
3.การจำแนกทางอนุกรมวิธาน            
                Frank (1969)  ได้จัดลำดับชั้นของปลาเทวดาไว้ดังนี้
                Class                    :  Osteichthyes
                  Order                 :  Perciformes
                    Suborder          :  Percoidei
                      Family             :  Cichlidae
                        Genus            :  Pterophyllum
                          Species        :  scalare ,  altum   และ  leopoldi
.
ภาพที่ 2 ลักษณะของปลาเทวดาชนิด scalare (Pterophyllum scalare)
ที่มา : Atlantis-jj.com (2011)

.
ภาพที่ 3 ลักษณะของปลาเทวดาชนิด altum (Pterophyllum altum)
ที่มา : Free-pet-wallpapers.com Atlantis-jj.com (2012)

.
ภาพที่ 4 ลักษณะของปลาเทวดาชนิด leopoldi (Pterophyllum leopoldi)
ที่มา : Free-pet-wallpapers.com Atlantis-jj.com (2012)
                                                                                                                                                                       
4.การจำแนกเพศปลาเทวดา               
       ปลาเทวดาเพศผู้และเพศเมียมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก การสังเกตุความแตกต่างจากลักษณะภายนอกจะทำได้ยากมาก และจะพอสังเกตุได้ก็ต่อเมื่อปลาถึงวัยสมบูรณ์เพศแล้ว โดยจะต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์พอสมควร  ลักษณะที่พอจะบ่งบอกความแตกต่างลักษณะเพศของปลาเทวดามีดังนี้
       4.1 บริเวณหน้าผาก   ปลาเทวดาเพศผู้จะมีส่วนหัวด้านบน (หน้าผาก) โหนกนูนและสีเข้มกว่าปลาเพศเมีย
    4.2 ติ่งเพศ ปลาเทวดาเพศเมียจะมีติ่งเพศเป็นท่อยื่นยาวออกมาค่อนข้างมาก และมีขนาดใหญ่กว่าติ่งเพศของเพศผู้ ซึ่งจะปรากฎให้เห็นได้ชัดเจนในช่วงผสมพันธุ์วางไข่เท่านั้น  
.
 
ภาพที่ 6 แสดงลักษณะส่วนหัวและติ่งเพศของปลาเทวดาเพศผู้  
ที่มา : Isabella (2007)
.
 
ภาพที่ 7 แสดงลักษณะส่วนหัวและติ่งเพศของปลาเทวดาเพศเมีย  
                                                             ที่มา : Isabella (2007)
.
       สำหรับวิธีการจำแนกเพศปลาเทวดาที่ดีที่สุด  คือ  ปล่อยให้ปลาจับคู่กันเอง เมื่อปลามีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ หรือถึงฤดูผสมพันธุ์ ปลาเพศผู้และเพศเมียจะมีการเลือกคู่หรือจับคู่กัน และมักจะว่ายน้ำคลอเคลียไปด้วยกัน ดังนั้นถ้านำปลาเทวดาที่สมบูรณ์เพศแล้ว หรือมีขนาด  4 - 6  นิ้ว มาเลี้ยงรวมกันในตู้ปลา ขนาด 20 - 36  นิ้ว จำนวนตู้ละ  10 - 20  ตัว แล้วแต่ขนาดตู้ปลา ใช้เวลาประมาณ  25 - 30  วันปลาจะเริ่มมีการจับคู่กัน  ก็พยายามแยกคู่ออกมา  จะได้ปลาเพศผู้และเพศเมียมาเป็นคู่อย่างแน่นอน   และเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
                                                                                                                                                                                  
5.การแพร่พันธุ์ของปลาเทวดา                
                ในธรรมชาติปลาเทวดาเป็นปลาที่ต้องมีการเลือกคู่หรือจับคู่กันก่อนการแพร่พันธุ์วางไข่ จากนั้นจะเลือกพื้นที่ซึ่งมักจะเป็นใบพันธุ์ไม้น้ำชนิดที่มีใบกว้างเพื่อวางไข่ หรืออาจวางไข่บนวัสดุแข็งผิวเรียบ  เช่น  ตามโขดหิน หรือขอนไม้  โดยแม่ปลาจะค่อยๆปล่อยไข่ติดกับวัสดุเป็นแถวยาวครั้งละ 10 - 15 ฟอง แล้วว่ายน้ำออกมาจากนั้นปลาเพศผู้จึงว่ายเข้าไปค่อยๆปล่อยน้ำเชื้อไล่ไปตามเม็ดไข่เสร็จแล้วจะว่ายน้ำออกมาเช่นกัน แล้วปลาเพศเมียก็จะเข้าไปวางไข่อีกทำเช่นนี้สลับกันไปจนไข่หมดท้อง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ  1  ชั่วโมง  จำนวนไข่ทั้งหมดที่วางแต่ละครั้งจะมีไข่ประมาณ  200 - 500 ฟอง จากนั้นทั้งปลาเพศผู้และเพศเมียจะช่วยกันดูแลรักษาไข่ โดยจะคอยโบกพัดน้ำบริเวณที่วางไข่เพื่อเพิ่มออกซิเจนอย่างสม่ำเสมอ และจะเก็บกินไข่ที่เสียออกด้วย การพัฒนาของไข่จะใช้เวลาประมาณ  48  ชั่วโมง   ลูกปลาก็จะฟักออกจากไข่แล้วตกลงสู่พื้น   ลูกปลาจะลงไปเกาะอยู่ตามพื้น หรือตามวัสดุแข็ง เช่น กิ่งไม่ ขอนไม้ ก้อนหิน หรือผนังตู้ โดยในระยะแรกนี้จะมีถุงไข่แดงขนาดใหญ่อยู่ และจะใช้เวลาประมาณ  2 - 3  วันจึงจะใช้อาหารจากถุงไข่แดงหมด จากนั้นลูกปลาจะว่ายรวมฝูงหาอาหารอยู่ใกล้ๆพ่อแม่ปลา พ่อแม่ปลาจะคอยป้องกันศัตรูให้ลูกปลา จนลูกปลาเจริญเติบโตพอควรก็จะแยกฝูงออกไปหากินกันเอง พ่อแม่ปลาก็จะออกหาอาหารและสามารถวางไข่ชุดใหม่ได้อีกในเวลาประมาณ  25 - 30 วัน ส่วนลูกปลาที่แยกตัวไปจะเจริญเติบโตเป็นปลาเต็มวัยในเวลาประมาณ  6 - 8 เดือน  
.
ภาพที่ 8 แสดงลักษณะการวางไข่ติดบนใบไม้ของปลาเทวดา  
ที่มา : Free-pet-wallpapers.com Atlantis-jj.com (2012)
.
ภาพที่ 9 แสดงลักษณะปลาเทวดาที่กำลังวางไข่ติดกับท่อพลาสติก  
ที่มา : Isabella (2007)
.
ภาพที่ 10 แสดงลักษณะลูกปลาเทวดาที่พึ่งฟักตัวเกาะรวมกลุ่มที่ขอนไม้  
 ที่มา : มิ้งค์ (2553)

ภาพที่ 11 แสดงลักษณะลูกปลาเทวดาที่ฟักตัวและถุงไข่แดงยุบแล้ว จะว่ายน้ำหากินรวมกลุ่มใกล้พ่อแม่ปลา 
ที่มา : มิ้งค์ (2553)


6.การเพาะพันธุ์ปลาเทวดา            
       การดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาเทวดากระทำได้ไม่ยากนัก ผู้เลี้ยงปลาสามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างง่ายๆ ดังนี้
           6.1 การเตรียมบ่อเพาะ บ่อที่จะใช้เพาะพันธุ์ปลาเทวดาอาจใช้ตู้กระจก หรืออ่างซีเมนต์ก็ได้  แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุด หรือเหมาะสมมากที่สุด คือ ตู้กระจก เพราะจะช่วยให้สังเกตุได้ว่าปลาวางไข่เมื่อใด และไข่มีการพัฒนาไปอย่างไรบ้าง ขนาดของตู้ใช้ได้ตั้งแต่ขนาด  14 - 36  นิ้ว ถ้าเป็นตู้เล็กจะปล่อยปลาตู้ละ  1  คู่ แต่ถ้าตู้ใหญ่จะใส่ปลาได้  2 - 3  คู่ ภายในตู้ควรมีพันธุ์ไม้น้ำบ้าง และจะไม่รองพื้นตู้ด้วยกรวดหรือเศษปะการังเลย ควรปล่อยพื้นตู้โล่งๆ   
          6.2 ที่วางไข่ของปลา จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อให้ปลาใช้เป็นที่วางไข่ซึ่งปัจจุบันมีการเลือกใช้กันหลายรูปแบบ ได้แก่ 
                  - พรรณไม้น้ำ ชนิดของพรรณไม้น้ำที่นิยมกัน  คือ อเมซอน เนื่องจากมีใบกว้างหนา แข็งแรง   
            - แผ่นกระจก   แผ่นพลาสติก  กระเบื้องแผ่นเรียบ  ขนาดประมาณ 4 x 10 นิ้ว  หรือท่อ PVC     วางเอียงทำมุม  30 - 60 องศากับพื้นตู้
                   - โดม หรือกระถางต้นไม้ ที่มีเนื้อเนียน
         6.3 การเติมอากาศ ควรเปิดแอร์ปั๊มเพื่อเพิ่มออกซิเจน แต่ไม่ควรเปิดให้แรงมากนัก  
            6.4 การควบคุมอุณหภูมิ ควรใช้ฮีตเตอร์ ( Heater) ควบคุมอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ระหว่าง 28 - 32 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ปลาวางไข่ได้เกือบตลอดปี
            6.5 การคัดพ่อแม่พันธุ์ปลา ปลาที่จะใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ควรเป็นปลาที่มีอายุประมาณ 8 - 10 เดือนขึ้นไป ควรเลือกพ่อแม่ปลาที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ นำมาปล่อยเลี้ยงรวมกันไว้ในตู้กระจกเพื่อให้ปลาจับคู่กันเองตามธรรมชาติ  เพราะการแยกเพศพ่อแม่ปลาจากการสังเกตลักษณะ ความแตกต่างจะค่อนข้างยาก ปลาเทวดาจะเพาะพันธุ์ได้ดีตั้งแต่เดือนมีนาคม  ถึง  เดือนตุลาคม ดังนั้นควรจัดปลาที่จะใช้เพาะพันธุ์ลงบ่อเลี้ยงตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธุ์ หลังจากปล่อยปลาลงเลี้ยงประมาณ  1  เดือน จึงหมั่นสังเกตุเพื่อหาพ่อแม่พันธุ์ที่มีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ ก็จะพบว่ามีปลาที่แยกคู่ออกจากฝูง   พร้อมกับมีการสร้างอาณาเขตของตัวเองขึ้น   โดยไม่ยอมให้ปลาตัวอื่นเข้าใกล้คู่ของตัวเอง หรือบริเวณที่คู่ของตัวเองเลือกไว้ ก็คัดแยกปลาคู่ดังกล่าวนำมาปล่อยลงบ่อเพาะ ปลาก็จะเลือกบริเวณที่จะวางไข่ แล้วช่วยกันทำความสะอาดโดยใช้ปากแทะเล็มตะไคร่น้ำและเศษวัสดุต่างๆออก พร้อมทั้งพ่นน้ำไล่ตะกอนออกจนเกลี้ยง แต่ถ้าหากผู้เลี้ยงพึ่งจัดเตรียมบ่อเพาะและวัสดุวางไข่ไว้ให้ ปลาก็จะวางไข่ได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นปลาอาจเลือกวางไข่ที่บริเวณผนังกระจกของตู้ปลา หรือวัสดุผิวเรียบอื่นๆที่อยู่ในตู้ก็ได้  
                6.6 ข้อควรระวังในการเพาะปลาเทวดา
                     6.6.1 ไม่ควรใส่กรวดหรือปะการังรองพื้นตู้โดยเด็ดขาด เพราะลูกปลาที่ฟักออกจากไข่จะตกลงพื้น ก็จะทำให้แทรกลงไปตามช่องว่างของก้อนกรวดและปะการัง แล้วมักจะตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจ หรือไม่สามารถว่ายกลับขึ้นมาได้
                     6.6.2 ในระหว่างที่ปลาวางไข่แล้วต้องระวังอย่าให้ปลาตื่นตกใจ หรือระวังอย่าให้มีการเคาะที่ผนังตู้ปลาโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อพ่อแม่ปลาได้รับความตกใจก็จะกินไข่ของตัวเองจนหมด
                     6.6.3 ในระหว่างที่ปลาวางไข่แล้วต้องงดการให้อาหารทุกชนิดจนกว่าจะแยกลูกปลาออกไปอนุบาล จึงเริ่มให้อาหารแก่พ่อแม่ปลา
                                                                                                                                                                                  
7.การอนุบาลลูกปลาเทวดา          
                เมื่อปลาวางไข่แล้วอาจปล่อยให้พ่อแม่ปลาดูแลรักษาไข่เอง หรืออาจแยกเอาไข่ออกมาฟักเองก็ได้ แต่จะต้องเสียเวลาในการดูแลรักษาไข่ค่อนข้างมา เพราะไข่ปลามักถูกทำลายด้วยเชื้อรา การปล่อยให้พ่อแม่ปลาฟักไข่เองจะให้ผลดีกว่า ข้อสำคัญ คือ  จะต้องงดอาหารระหว่างที่ปลาดูแลรักษาไข่ เพราะถ้าปลาได้รับอาหารก็มักจะกินไข่ของตัวเองด้วย
                การแยกลูกปลาออกมาอนุบาล ควรแยกเมื่อลูกปลาเริ่มกินอาหาร  สังเกตได้จากถุงอาหารที่ส่วนท้องจะยุบตัวหมด และลูกปลาจะว่ายน้ำรวมฝูงใกล้ๆพ่อแม่ปลา  ลูกปลาที่แยกออกมาจะอนุบาลในตู้กระจกหรืออ่างซีเมนต์ก็ได้  สิ่งสำคัญสำหรับการอนุบาลลูกปลาเทวดาก็  คือ  การหาอาหารที่จะใช้เลี้ยงปลา เพราะปลาเทวดาปกติจะเป็นปลาที่กินอาหารมีชีวิต จัดเป็นพวกกินเนื้อที่เป็นพวกกินแมลงและตัวอ่อนของแมลง (Insectivores) เป็นหลัก ดังนั้นลูกปลาวัยอ่อนของปลาเทวดาจะต้องการอาหารที่มีชีวิต ฉนั้นอาหารที่ดีที่สุดที่จะให้ลูกปลาเทวดาก็คือ ไรแดง หรืออาร์ทีเมีย ลูกปลาจะกินอาหารเป็นอย่างดีและเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ทั้งนี้จะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอด้วย จะใช้ระยะเวลาในการอนุบาลประมาณ 15 - 20 วัน ลูกปลาจะมีขนาดประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร ก็เริ่มหัดให้กินอาหารสมทบ โดยใช้อาหารปลาสวยงามชนิดเม็ดเล็กพิเศษ ถึงแม้จะค่อนข้างมีราคาแพงแต่ก็จะช่วยให้ปลากินอาหารสมทบได้ดี โดยเริ่มให้แทนการให้ไรในตอนเช้า ลูกปลาซึ่งเคยชินกับการให้อาหารก็จะมากินอาหาร ยิ่งถ้ามีลูกปลาอยู่จำนวนมาก จะมีลูกปลาบางส่วนขึ้นมาลองฮุบกินเม็ดอาหาร จากนั้นก็จะมีปลาตัวอื่นๆขึ้นมากินตาม จะทำให้ปลากินอาหารสมทบได้อย่างรวดเร็ว ประมาณ  3 - 5  วันปลาจะคุ้นกับการกินอาหารเม็ดเป็นอย่างดี เลี้ยงด้วยอาหารเม็ดเล็กพิเศษประมาณ 10 วัน ก็เปลี่ยนมาเป็นอาหารปลาสวยงามชนิดธรรมดา   หรือใช้อาหารเลี้ยงปลาดุกเล็กซึ่งเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำเช่นกัน ถึงแม้อาหารเหล่านี้จะมีขนาดเม็ดค่อนข้างใหญ่ แต่เมื่อปลามีความเคยชินกับการกินอาหารเม็ดแล้วก็จะค่อยๆตอดกินได้เอง
   
8.การเลี้ยงปลาเทวดา                   
                การเลี้ยงปลาเทวดาในปัจจุบันค่อนข้างง่ายมาก เนื่องจากปลาเทวดาถูกนำมาเลี้ยงหลายชั่วอายุ ทำให้ปลามีการปรับตัวเคยชินกับการกินอาหารสมทบหรืออาหารเม็ดได้ดี ดังนั้นการเลี้ยงปลาเทวดาในปัจจุบันมักจะใช้อาหารเม็ดเป็นหลัก ซึ่งสามารถทำให้ปลาเจริญเติบโตสมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี

ปลากัด


              ปลากัด  มีชื่อสามัญว่า  Siamese  Fighting  Fish เป็นปลาสวยงามที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมานานแล้ว เนื่องจากเป็นปลาสวยงามที่นอกจากจะมีสีสันสดเข้มสวยงามสะดุดตามากแล้ว  ยังเป็นปลาที่จัดว่าเป็นยอดนักสู้ตัวฉกาจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปลากัดที่ไปจากประเทศไทยจัดว่าเป็นปลาที่กัดเก่งและมีความทรหดมากที่สุด ทำให้ได้รับความนิยมจากประเทศต่างๆทั่วโลก ในประเทศไทยนิยมเลี้ยงปลากัดมานานแล้ว และได้เน้นเป็นการเลี้ยงเพื่อเกมกีฬาโดยเฉพาะมีการจัดตั้งเป็นบ่อนการพนัน  ทางราชการจะมีการอนุญาตให้เปิดสถานที่สำหรับเดิมพันการกัดปลา เรียก บ่อนปลากัด  หรือ  บ่อนกัดปลา มาตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบัน
             การเลี้ยงปลากัดเป็นปลาสวยงามมักนิยมเลี้ยงในขวดหรือโหลขนาดเล็ก ไม่นิยมเลี้ยงร่วมกับปลาชนิดอื่น เพราะเป็นปลาที่ชอบสร้างอาณาเขตและมักจะไล่กัดปลาที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน ซึ่งในช่วงนี้ปลาจะมีสีสดเข้มสวยงาม แต่ถ้านำไปเลี้ยงกับปลาขนาดใหญ่ปลาจะตื่นตกใจ เหมือนกับการแพ้คู่ต่อสู้ ในช่วงนี้ปลาก็จะสีซีดดูไม่สวยงาม จึงจำเป็นต้องเลี้ยงปลากัดไว้เพียงตัวเดียวในภาชนะที่ไม่ใหญ่มากนัก ปลาก็จะมีความรู้สึกว่าสามารถสร้างอาณาเขตของตัวเองไว้ได้ก็จะมีสีสันสดใสสวยงาม จัดว่าเป็นปลาที่ติดตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ สามารถจำหน่ายได้ดีตลอดปี โดยเฉพาะเด็กจะชอบหาซื้อปลากัดไปเลี้ยง เพื่อนำไปกัดแข่งขันกัน   แล้วก็หาซื้อปลาตัวใหม่อยู่เสมอ
.
      
ภาพที่ 1  ลักษณะภาชนะรูปแบบต่างๆที่สวยงามนำมาใช้เลี้ยงปลากัด
ที่มา : http://www.bettatalk.com/images/betta_in_a_vase.jpg (ภาพ )
          http://www.siamsbestbettas.com/gallery.html (ภาพ )
          http://www.cbsbettas.org/petbetta.html (ภาพ )
          http://www.cleavelin.net/archives/DSC01048.JPG (ภาพ )
.
1.ประวัติของปลากัด              
          ปลากัดเป็นปลาพื้นบ้านของไทย ในธรรมชาติชอบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง  เช่น หนอง บึง หรือชายทุ่งนา โดยมักพบตามชายฝั่งที่ตื้นๆและมีพรรณไม้น้ำมาก เป็นปลาที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพวก Labyrinth Fish ได้แก่ พวกปลากระดี่ทั้งหลาย ซึ่งเป็น กลุ่มปลาที่มีอวัยวะช่วยหายใจ ทำให้ปลาอาศัยอยู่ในที่มีออกซิเจนต่ำได้ จึงทำให้สามารถเลี้ยงปลากัดในขวดต่างๆที่มีปากขวดแคบๆได้ ปลากัดจัดว่าเป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร   โดยจะชอบกินแมลงและตัวอ่อนของแมลงต่างๆ (Insectivores)        


2.การจำแนกทางอนุกรมวิธาน              
              Nelson (1984)  ได้จัดลำดับชั้นของปลากัดไว้ดังนี้
     Superclass                :   Osteichthyes
       Class                      :   Actinopterygii
         Order                  :  Perciformes  -- perch-like fishes
            Suborder          :  Anabantoidei   -- labyrinthfishes
               Family            :  Osphronemidae Bleeker, 1859 -- giant gouramis
                  Subfamily    :  Macropodinae Liem, 1963
                    Genus        :  Betta 
    ปลากัดที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยมานานแล้วนั้นถูกจัดให้เป็นชนิด splendens หรือมีชื่อวิทยาศษสตร์ว่า Betta splendens, Regan, 1910 ปัจจุบันได้มีการสำรวจพบชนิดของปลากัดประมาณ 50 - 60 ชนิด  โดยจัดแบ่งกลุ่มตามลักษณะการวางไข่ออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
                     1. กลุ่มแรก เป็นปลากัดที่ก่อหวอดวางไข่ เป็นปลากัดที่ผู้เพาะเลี้ยงปลากัดส่วนใหญ่ดำเนินการกันมานานแล้ว ปลาเพศผู้จะสร้างรัง เรียกว่าหวอดที่บริเวณผิวน้ำและจะติดอยู่ใต้ใบพันธุ์ไม้น้ำชายฝั่ง เพื่อใช้ในการฟักไข่ ตัวอย่างปลากัดในกลุ่มนี้ เช่น  Betta coccina   B. brownorum   B. burdigala   B. livida   B. rutilans   B. tussyae 
                      2. กลุ่มที่สอง เป็นปลากัดอมไข่ เป็นปลากัดที่ถูกนำมาเลี้ยงยังไม่นานนัก เป็นปลาที่มีพฤติกรรมการแพร่พันธุ์วางไข่คล้ายกับปลาหมอสีกลุ่มที่อมไข่ เพื่อให้ไข่ฟักตัวภายในปาก ตัวอย่างปลากัดในกลุ่มนี้ เช่น Betta akarensis B. patoti    B. anabatoides    B. macrostoma    B. albimarginata   B. channoides 
.
ภาพที่ 2  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัด Betta splendens
.
    
ภาพที่ 3  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดที่ก่อหวอดวางไข่ชนิดอื่น ๆ
 ที่มา : http://ibc-smp.org/species/splendens.html
.
      
ภาพที่ 4  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดอมไข่บางชนิด
 ที่มา : http://ibc-smp.org/species/splendens.html
.
3.ลักษณะรูปร่างของปลากัด           
      ปลากัดจัดเป็นปลาขนาดเล็ก ลำตัวมีความยาวประมาณ 5 - 7 เซนติเมตร ลักษณะลำตัวเรียวยาว แบนข้าง ปากมีขนาดเล็กเชิดขึ้นด้านบนเล็กน้อย ส่วนหัวมีเกล็ดปกคลุม ครีบก้นมีฐานครีบค่อนข้างยาว มีจำนวนก้านครีบ  23 - 26 อัน ครีบท้องเล็กยาว สีของลำตัวเป็นสีเทาแกมดำ สีของครีบและเกล็ดบริเวณใกล้ครีบจะเป็นสีสดเข้มสีใดสีหนึ่งทั้งตัว เช่น  ปลากัดสีแดง จะมีครีบทุกครีบและเกล็ดที่อยู่ใกล้ครีบเป็นสีแดงทั้งหมด
.
ภาพที่ 5  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัด
.
4. ลักษณะพันธุ์ของปลากัด        
                ปลากัดที่มีเพาะเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน มีหลายสายพันธุ์ดังนี้
               4.1 ปลากัดลูกหม้อ มีลักษณะลำตัวค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น ส่วนหัวค่อนข้างโต ปากใหญ่ ครีบสั้นสีเข้ม เดิมมักจะเป็นสีเขียว หรือสีน้ำเงินแกมแดง แต่ปัจจุบันมีหลายสี เช่นสีแดง สีน้ำเงิน สีม่วง สีเขีย และสีนาก เป็นชนิดที่มีความอดทน กัดเก่ง ได้รับความนิยมสำหรับการกัดพนัน ปัจจุบันนิยมเรียกเป็นกลุ่มของ ปลากัดครีบสั้น
.
   
ภาพที่ 6  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดลูกหม้อ
.
                  4.2 ปลากัดลูกทุ่ง มีลักษณะลำตัวเล็กกว่าพันธุ์ลูกหม้อ ลำตัวค่อนข้างยาว   ครีบยาวปานกลางหรือยาวกว่าพันธุ์ลูกหม้อเล็กน้อย  สีไม่เข้มมากนัก ส่วนมากมักจะเป็นสีแดงแกมเขียว เป็นพันธุ์ที่มีความตื่นตกใจได้ง่ายที่สุด การกัดจะมีความว่องไวมากกว่าพันธุ์ลูกหม้อ ปากคม  แต่ไม่ค่อยมีความอดทน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจะรู้ผลแพ้ชนะ นิยมใช้ในวงการกัดพนันเช่นกัน
.
       
ภาพที่ 7  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดลูกทุ่ง 
.
                  4.3 ปลากัดลูกผสม หรือพันธุ์สังกะสี หรือพันธุ์ลูกตะกั่ว ป็นลูกปลาที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างปลากัดลูกหม้อกับปลากัดลูกทุ่ง   โดยอาจผสมระหว่างพ่อเป็นปลาลูกหม้อกับแม่เป็นปลาลูกทุ่ง หรือพ่อเป็นปลาลูกทุ่งกับแม่เป็นปลาลูกหม้อ ได้ทั้งสองแบบ ผู้เพาะต้องการให้ปลาลูกผสมที่ได้มีลักษณะปากคม กัดคล่องแคล่วว่องไวแบบปลาลูกทุ่ง และมีความอดทนแบบปลาลูกหม้อ โดยพยายามคัดปลาที่มีลักษณะลำตัวเป็นปลาลูกทุ่ง เพราะเมื่อนำไปกัดกับปลาลูกทุ่งแท้ ๆ ปลาลูกผสมนี้จะกัดทนกว่าปลาลูกทุ่ง  
                 4.4 ปลากัดจีน   เป็นปลากัดที่เกิดจากการเพาะและคัดพันธุ์ปลากัดโดยเน้นเพื่อความสวยงาม พยายามคัดพันธุ์เพื่อให้ปลามีหางยาวและสีสันสดเข้ม จนในปัจจุบันสามารถผลิตปลากัดจีนที่มีความสวยงามอย่างมาก มีครีบต่างๆค่อนข้างยาว โดยเฉพาะครีบหางจะยาวมากเป็นพิเศษและมีรูปทรงหลายแบบ มีสีสันสดสวยมากมายหลายสี เป็นปลาที่ไม่ค่อยตื่นตกใจเช่นเดียวกับปลาหม้อ แต่ไม่มีความอดทน เมื่อปล่อยกัดกันมักรู้ผลแพ้ชนะภายใน 10 นาที ไม่นิยมใช้ในการกัดพนัน ปัจจุบันนิยมเรียกเป็นกลุ่มของ ปลากัดครีบยาว
.
 
ภาพที่ 8  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดจีน  
.
               ปัจจุบันผู้เพาะพันธุ์ปลากัดสามารถเพาะพันธุ์ปลากัดสายพันธุ์ใหม่ๆออกมาอีกหลายสายพันธุ์ และมีความหลากหลายทางด้านสีสันอีกด้วย ทำให้มีการเรียกชื่อสายพันธุ์ปลากัดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ได้แก่ ปลากัดครีบสั้น(ปลากัดหม้อ)สีเดียว  ปลากัดครีบยาว(ปลากัดจีน)สีแฟนซี ปลากัดสองหาง (Double Tail) ปลากัดหางหนามมงกุฎ (Crown Tail) ปลากัดหางพระจันทร์ (Halfmoon) เป็นต้น
    
ภาพที่ 9  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดครีบสั้นสีเดียว
.
    
ภาพที่ 10  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดครีบยาวสีแฟนซี
 ที่มา : สถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ 2544  
.
  
ภาพที่ 11  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดสองหาง (Double Tail)
.
 
ภาพที่ 12  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดหางหนามมงกุฏ (Crown Tail)
.
 
ภาพที่ 13  แสดงลักษณะรูปร่างของปลากัดหางพระจันทร์ (Halfmoon)
5. การจำแนกเพศปลากัด        
                ปลากัดเพศผู้และเพศเมียมีลักษณะภายนอกที่แสดงความแตกต่างกัน   ซึ่งพอจะสังเกตได้หลายประการ  คือ
                5.1 สีของลำตัว   ปลาเพศผู้จะมีสีของลำตัวและครีบ  เข้มและสดกว่าปลาเพศเมียอย่างชัดเจน เมื่อปลามีอายุตั้งแต่ เดือน หรือมีขนาดตั้งแต่ เซนติเมตรขึ้นไป
                5.2 ขนาดของตัว  ปลาที่เลี้ยงในครอกเดียวกันปลาเพศผู้จะเจริญเติบโตเร็วกว่าปลาเพศเมีย
                5.3 ความยาวครีบ ปลาเพศผู้จะมีครีบหลัง ครีบหาง  และครีบก้นยาวกว่าของปลาเพศเมียมาก   ยกเว้นปลากัดหม้อจะยาวต่างกันไม่มากนัก
                5.4 เม็ดไข่นำ  ปลาเพศเมียจะมีเม็ดหรือจุดขาวๆอยู่  1  จุด ใกล้ๆกับช่องเปิดของช่องเพศ ลักษณะคล้ายกับไข่ของปลากัดเอง เรียกจุดนี้ว่าไข่นำ  ส่วนปลาเพศผู้ไม่มี   
.
  
ภาพที่ 14  แสดงความแตกต่างระหว่างเพศผู้(บน)และเพศเมีย(ล่าง)
6. การแพร่พันธุ์ของปลากัด      
                ในธรรมชาติปลากัดเป็นปลาที่วางไข่ได้เกือบตลอดปี โดยปลาจะจับคู่วางไข่ตามน้ำนิ่ง ปลาเพศผู้จะทำหน้าที่สร้างรัง ด้วยการก่อหวอดที่บริเวณผิวน้ำและจะติดอยู่ใต้ใบพันธุ์ไม้น้ำชายฝั่ง หวอดนี้ทำจากลมและน้ำลายจากตัวปลา โดยการที่ปลาเพศผู้จะโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ แล้วใช้ปากฮุบเอาอากาศที่ผิวน้ำเข้าปาก ผสมกับน้ำลายแล้วพ่นออกมาเป็นฟองอากาศเล็กๆลอยติดกันเป็นกลุ่มทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  5 เซนติเมตร  จากนั้นจะกางครีบว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆหวอด เป็นเชิงชวนให้ปลาเพศเมียที่มีไข่แก่เข้ามาที่หวอด การผสมพันธุ์วางไข่จะเกิดขึ้นในช่วงเช้า เวลาประมาณ  7.00 - 8.00  โดยทั้งปลาเพศผู้และเพศเมียจะเข้าไปอยู่ใต้รัง  จากนั้นปลาเพศผู้จะงอตัวรัดบริเวณท้องของปลาเพศเมีย ลักษณะนี้เรียกว่า การรัด” ปลาเพศเมียจะปล่อยไข่ออกมาครั้งละ 7 - 20 ฟองในขณะเดียวกันปลาเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสมกับไข่ ในช่วงนี้ทั้งปลาเพศผู้และเพศเมียจะค่อยๆจมลงสู่ก้นบ่อ จากนั้นปลาเพศผู้จะค่อยๆคลายการรัดตัว แล้วรีบว่ายน้ำไปหาไข่ที่กำลังจมลงสู่พื้น ใช้ปากอมไข่นำไปพ่นติดไว้ที่หวอด ปลาเพศเมียก็จะช่วยเก็บไข่ไปไว้ที่หวอดด้วย เมื่อตรวจดูว่าเก็บไข่ไปไว้ที่หวอดหมดแล้ว จากนั้นปลาก็จะทำการรัดตัวกันใหม่ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนแม่ปลาไข่หมดท้อง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ ชั่วโมง เมื่อวางไข่หมดแล้วปลาเพศผู้จะไล่กัดขับไล่ปลาเพศเมียไม่ให้มาใกล้รังอีกเลย เพราะเมื่อปลาเพศเมียวางไข่หมดแล้วมักจะกินไข่ของตัวเอง จะมีเฉพาะปลาเพศผู้เท่านั้นที่คอยดูแลรักษาไข่ คอยไล่ไม่ให้ปลาตัวอื่นเข้าใกล้รัง และจะคอยเปลี่ยนลมในหวอดอยู่เสมอ ไข่ของปลากัดจัดว่าเป็นไข่ประเภทไข่ลอย ถึงแม้ตอนปล่อยจากแม่ปลาใหม่ๆไข่จะจมน้ำ แต่เมื่อถูกนำไปไว้ในหวอดจะพัฒนาเกิดหยดน้ำมันและลอยน้ำได้ดี ลักษณะไข่เป็นเม็ดกลมสีขาว ใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ  30 - 40  ชั่วโมง   ปลาเพศเมียที่มีขนาดความยาวประมาณ  4 - 6  ซม.  จะมีไข่ประมาณ  300 - 700 ฟอง   เมื่อวางไข่ไปแล้วจะสามารถวางไข่ครั้งต่อไปภายในเวลาประมาณ  20 - 30  วัน
7. การเพาะพันธุ์ปลากัด      
                การเพาะพันธุ์ปลากัดดำเนินได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
    7.1 การเตรียมพ่อแม่พันธุ์ ปลากัดจะสมบูรณ์เพศเมื่ออายุ 4 - 6  เดือน สามารถนำไปใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ได้ การเลือกปลาเพศผู้ควรเลือกปลาที่คึกคะนอง คือ เมื่อนำปลาดังกล่าวไปใกล้กับปลาเพศผู้ตัวอื่น ก็จะแสดงอาการก้าวร้าวทันที โดยจะกางกระพุ้งแก้มและกางครีบ รี่เข้าหาปลาตัวอื่นทันทีพร้อมที่จะกัด หรืออาจสังเกตจากการสร้างหวอดก็ได้ เพราะปลาเพศผู้ที่สมบูรณ์เพศและพร้อมจะผสมพันธุ์ มักจะสร้างหวอดในภาชนะที่เลี้ยงเสมอ สำหรับปลาเพศเมียควรเลือกปลาที่มีท้องแก่  คือมีไข่แก่เต็มที่ โดยสังเกตได้จากส่วนท้องของปลา ซึ่งจะขยายตัวพองออกอย่างชัดเจน และเมื่อลองให้อดอาหารเป็นเวลา  1  วัน ส่วนท้องก็ยังคงขยายอยู่เช่นเดิม นำแม่ปลาที่เลือกได้ไปใส่ขวดแล้วนำไปวางเทียบกับปลาเพศผู้ เมื่อปลาเพศผู้แสดงอาการเกี้ยวพาราสี ปลาเพศเมียที่ท้องแก่จะเกิดลายสีขาวแกมเหลืองพาดจากส่วนหลังลงไปทางส่วนท้อง จำนวน 4 - 6 แถบ ในเรื่องสีสันของปลานั้นสามารถเลือกได้ตามความชอบของผู้ดำเนินการ  เพราะปลาสีต่างกันสามารถผสมกันได้             
.
 
ภาพที่ 15  แสดงลักษณะแม่ปลาที่ท้องแก่
.
               7.2 การเทียบพ่อแม่พันธุ์ เมื่อเลือกได้ปลาเพศผู้และเพศเมีย ที่สมบูรณ์มีลักษณะและสีสันตามต้องการแล้ว นำปลาใส่ขวดแก้วใสขวดละตัวแยกเพศกันไว้ก่อน แล้วนำมาตั้งเทียบกันไว้  โดยการวางขวดใส่ปลาให้ชิดกันและไม่ต้อมีกระดาษปิดคั่น ต้องการปล่อยให้ปลามองเห็นกัน ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า การเทียบ” ควรเทียบไว้นานประมาณ  4 - 7  วัน เพื่อให้ปลาเกิดความเคยชินซึ่งกันและกัน เมื่อปล่อยลงบ่อเพาะแม่ปลาจะไม่ถูกพ่อปลาทำร้ายมากนัก ในขณะเดียวกันแม่ปลาก็จะมีไข่แก่เต็มที่
.
 
ภาพที่ 16  แสดงลักษณะการเทียบพ่อแม่พันธุ์ปลากัดในขวด(บน) และในภาชนะขนาดใหญ่(ล่าง)
.
              7.3 การเตรียมบ่อเพาะพันธุ์  บ่อหรือภาชนะที่จะใช้เป็นบ่อเพาะปลากัดควรมีขนาดเล็ก ส่วนมากนิยมใช้ภาชนะต่างๆไม่มีบ่อถาวร เช่น อ่างดินเผา กะละมัง ถัง หรือตุ่มน้ำขนาดเล็ก เพราะสะดวกกว่าการเพาะในบ่อ ภาชนะดังกล่าวมักมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 - 40  เซนติเมตร ใส่น้ำสะอาดลงในภาชนะที่เตรียมไว้ให้มีระดับสูงประมาณ 10 - 15  เซนติเมตร  จากนั้นใส่พันธุ์ไม้น้ำที่มีใบหรือลำต้นอยู่ผิวน้ำ เช่น จอก ผักตบชวา ผักบุ้ง หรือผักกระเฉด ลงไปบ้างเล็กน้อยเพื่อให้ปลาสร้างหวอดได้ง่าย  
.
 
ภาพที่ 17  แสดงการเตรียมบ่อเพาะพันธุ์ปลากัดโดยใส่เฉพาะใบไม้(บน) หรือภาชนะขนาดเล็กที่ปลาเข้าไปทำรังได้(ล่าง)
.
 
ภาพที่ 18  การเพาะปลากัดลูกทุ่งในขวดโหล

 
ภาพที่ 19  แสดงภาชนะอื่นๆที่นำมาใช้ในการเพาะพันธุ์ปลากัด
 .
                7.4 การปล่อยปลาลงบ่อเพาะ   เมื่อเทียบปลาไว้เรียบร้อยแล้วจึงปล่อยปลาทั้งคู่ลงบ่อเพาะที่เตรียมไว้ ต้องพยายามอย่าให้ปลาตื่นตกใจมากนัก จากนั้นหาแผ่นวัสดุ  เช่น  กระดาษแข็ง หรือแผ่นกระเบื้อง ปิดบนภาชนะที่ใช้เพาะ โดยปิดไว้ประมาณ 2 ใน ของพื้นที่ปากภาชนะ เพราะปลากัดมักชอบวางไข่ในบริเวณที่มืด เนื่องจากต้องการความเงียบสงบ วัสดุที่นำมาปิดจะสามารถช่วยบังแสงและกันลมไม่ให้หวอดของปลาแตกเทคนิคที่สำคัญคือ การปล่อยพ่อแม่ปลาควรปล่อยในตอนเย็น   เวลาประมาณ  17.00 - 18.00  เพราะโดยปกติแล้วเมื่อปล่อยพ่อแม่ปลารวมกัน ปลาเพศผู้จะเกี้ยวพาราสีปลาเพศเมีย โดยว่ายน้ำต้อนหน้าต้อนหลังอยู่ประมาณ  15  นาที จากนั้นจะไล่กัดปลาเพศเมียจนปลาเพศเมียจะต้องหนีไปแอบซุกอยู่ตามพันธุ์ไม้น้ำ แล้วปลาเพศผู้จะเริ่มหาที่ก่อหวอด เมื่อก่อหวอดไปพักหนึ่งก็จะไปไล่กัดปลาเพศเมียอีก ดังนั้นหากปล่อยปลาทั้งคู่ตั้งแต่เช้าปลาเพศเมียก็จะถูกกัดค่อนข้างบอบช้ำ แต่ถ้าปล่อยใกล้ค่ำเมื่อปลาเพศผู้หาจุดสร้างรังได้ก็จะค่ำพอดี  ปลาเพศผู้จะไม่ไปรบกวนปลาเพศเมียอีก   แต่จะสร้างรังไปจนเรียบร้อย   รุ่งเช้าก็พร้อมจะผสมพันธุ์ได้
.
  
ภาพที่ 20  แสดงการปิดแสงบ่อเพาะพันธุ์ปลากัดเพียงบางส่วน(บน) หรือในขันปิดหมด(ล่าง)
.
ภาพที่ 21  แสดงการใช้กระถางต้นไม้ในการเพาะพันธุ์ปลากัด
.
             7.5 การตรวจสอบการวางไข่ของปลา ตามปกติแล้วถ้าปลามีการวางไข่ ก็มักจะวางไข่เสร็จก่อนเวลาประมาณ 10.00  ดังนั้นเมื่อปล่อยปลาลงบ่อเพาะแล้ว เช้าวันต่อมาเวลาประมาณ  10.00  จึงค่อยๆลองแง้มฝาปิดดู ถ้าพบว่ามีไข่เม็ดเล็กๆสีขาวอยู่ที่หวอด และมีพ่อปลาคอยเฝ้าอยู่ ส่วนแม่ปลาหนีไปซุกอยู่ด้านตรงข้ามกับหวอด แสดงว่าปลาวางไข่เรียบร้อยแล้ว ค่อยๆช้อนแม่ปลาออกไปเลี้ยงต่อไป ปลาเพศผู้จะคอยดูแลรักษาไข่ โดยหมั่นเปลี่ยนฟองอากาศในหวอดและตกแต่งหวอดให้คงรูปอยู่เสมอ นอกจากนั้นยังคอยเก็บกินไข่เสียด้วย
 .
  
ภาพที่ 22 ลักษณะไข่ในหวอดใต้ใบไม้ (บน) และไข่ในหวอดที่มุมโหล (ล่าง) จะเห็นฟองอากาศที่หวอดเป็นสีขุ่นขาว
.
8. การอนุบาลลูกปลากัด      
                ลูกปลาจะฟักออกจากไข่หมดทุกฟองในวันที่สองหลังจากวางไข่ พ่อปลาจะคอยดูแลลูกที่ว่ายน้ำแล้วจมไปก้นบ่อ โดยจะไปอมลูกกลับมาไว้ที่หวอดเช่นเดิม   รอจนตอนเย็นของวันถัดไปจึงช้อนเอาพ่อปลาออก ลูกปลาจะตกใจกระจายตัวออกจากหวอด   ส่วนใหญ่ลงไปก้นบ่อแต่เมื่อรอสักครู่ก็จะพุ่งตัวขึ้นมาเกาะอยู่ตามพันธุ์ไม้น้ำหรือผนังบ่อใกล้ผิวน้ำ ในวันต่อมาถุงอาหารของลูกปลาจะหมดไป ลูกปลาจะเริ่มว่ายน้ำเพื่อหากินอาหาร
                การอนุบาลลูกปลากัดจะเริ่มจากที่ลูกปลาเริ่มหากินอาหาร ซึ่งการอนุบาลลูกปลากัดนี้จัดว่าเป็นงานที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากปลากัดเป็นปลากินเนื้อตามที่กล่าวมาแล้ว  ลูกปลาจึงต้องการอาหารที่มีชีวิต แต่ปัญหาจะอยู่ที่ว่าลูกปลากัดเป็นลูกปลาที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ปากจะไม่ใหญ่พอที่จะจับกินอาร์ทีเมียหรือไรแดงได้ อาหารที่เหมาะสมจะใช้ให้ลูกปลากินในช่วงนี้คือไข่แดง โดยใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดมาต้มให้สุกแล้วแกะเอาเฉพาะไข่แดงไปเลี้ยงปลา เนื่องจากลูกปลากัดจะต้องการจับกินอาหารมีชีวิตยังไม่สามารถกัดแทะอาหารได้   ดังนั้นต้องนำเอาไข่แดงที่จะใช้ เช่น  ลูกปลากัด ครอกจะใช้ไข่แดงขนาดเท่าเม็ดถั่วดำต่อการให้ ครั้ง ใส่ไข่แดงลงในกระชอนผ้า แล้ววางกระชอนลงบนขันหรือแก้วที่ใส่น้ำไว้พอประมาณ แล้วใช้นิ้วขยี้ไข่ในกระชอน ไข่แดงก็จะละลายหรือกระจายตัวเป็นเม็ดเล็กๆผ่านผ้าออกไปในน้ำ จากนั้นจึงใช้ช้อนตักแล้วค่อยๆรินลงบ่อปลาเพื่อให้อาหารมีการกระจายตัวทั่วบ่อ ซึ่งจากการที่ได้ขยี้ไข่แดงผ่านผ้าจะทำให้ไข่แดงแตกตัวออกเป็นเม็ดขนาดเล็กมากและมีน้ำหนักค่อนข้างเบา ดังนั้นจะมีการกระจายตัวได้ดีและจะค่อยๆจมตัวลง ทำให้ลูกปลานึกว่าเป็นไรน้ำก็จะฮุบกินไข่แดงได้  
                สำหรับภาชนะที่ใช้ในการอนุบาล ในช่วงแรกก็ควรยังเป็นภาชนะที่ใช้เพาะปลา เพราะยังต้องการภาชนะขนาดเล็กอยู่ เนื่องจากการใช้ไข่แดงเป็นอาหารนั้น ลูกปลาจะกินไข่แดงไม่หมด เพราะไข่แดงส่วนใหญ่จะค่อยๆจมตัวตกตะกอนที่ก้นภาชนะ   และลูกปลาจะไม่ลงไปเก็บกินอีกเลย ไข่แดงที่ตกตะกอนนี้ในวันต่อไปจะบูดเน่าเป็นเมือกอยู่รอบก้นภาชนะ จึงจำเป็นต้องล้างบ่ออนุบาลหรือภาชนะที่ใช้อนุบาลทุกเช้า ซึ่งกระทำได้ไม่ยาก คือ ใช้กระชอนวางลงในบ่ออนุบาลแล้วใช้ขันค่อยๆวิดน้ำออกจากในกระชอน จะสามารถลดน้ำลงได้โดยลูกปลาไม่ติดออกมา และเศษไข่ก็จะไม่ฟุ้งกระจายเพราะเป็นเมือกเกาะติดกับภาชนะ ลดน้ำลงประมาณครึ่งภาชนะแล้วจึงยกภาชนะค่อยๆรินทั้งน้ำและลูกปลาลงภาชนะใหม่แล้วเติมน้ำ จะเท่ากับเป็นการล้างบ่ออนุบาลและเติมน้ำใหม่ให้ลูกปลา ทำเช่นนี้ประมาณ 3 - 5 วัน ลูกปลาจะมีขนาดโตขึ้น   จะเปลี่ยนบ่ออนุบาลให้มีขนาดให้มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจใช้กะละมังพลาสติกขนาดใหญ่หรืออ่างซีเมนต์ และควรอนุบาลต่อโดยใช้อาร์ทีเมียหรือไรแดงซึ่งลูกปลาจะจับกินได้แล้ว เลี้ยงด้วยอาร์ทีเมียหรือไรแดงประมาณ 15 - 20 วันพร้อมทั้งถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ลูกปลาจะโตได้ขนาดประมาณ  1.0 - 1.5  เซนติเมตร ก็จะเปลี่ยนลงบ่อบ่ออนุบาลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นให้มีความจุมากกว่า 100 ลิตร แล้วเริ่มฝึกให้ลูกปลากินอาหารสมทบ โดยจะใช้ไข่ตุ๋น  คือนำไข่เป็ดหรือไข่ไก่มาตีให้ไข่ขาวและไข่แดงเข้ากันดี ใส่เกลือและใส่น้ำพอประมาณเพื่อให้ไข่นุ่ม จากนั้นนำไปนึ่งพอสุก ไม่ควรนึ่งนานนักเพราะต้องการให้ไข่มีความนุ่ม นำไปใส่ให้ปลากินโดยใช้นิ้วขยี้ไข่ให้แตกกระจายออกพอควร และเริ่มให้มื้อเช้าแทนการให้ไร ปลาจะเริ่มตอดกินได้เอง เลี้ยงด้วยไข่ตุ๋นประมาณ  10  วันก็เปลี่ยนมาเป็นอาหารเม็ด โดยช่วงแรกควรใช้อาหารปลาสวยงามชนิดเม็ดเล็กพิเศษ   ซึ่งค่อนข้างมีราคาแพงแต่ปลาจะกินได้ดี   จะใช้เพียง  3 - 5  วัน แล้วเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดเลี้ยงปลาดุกเล็ก ลูกปลาก็จะสามารถตอดกินและเจริญเติบโตดีใช้เวลาอนุบาลลูกปลาประมาณ 50 วัน ลูกปลาจะมีขนาดประมาณ  3  เซนติเมตร ซึ่งพอจะ สามารถแยกเพศได้  
.
  
ภาพที่ 23  แสดงลักษณะลูกปลากัดที่เริ่มฟักตัว จะลอยตัวอยู่ใกล้ผิวน้ำโดยมีปลาเพศผู้คอยดูแล
.
   
ภาพที่ 24  แสดงลักษณะบ่ออนุบาลลูกปลากัดในบ่อซิเมนต์
.
    
ภาพที่ 25 การขยี้ไข่ตุ๋นผ่านผ้าไนล่อนเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงลูกปลาแทน
อาหารมีชีวิตขยี้ผ่านครั้งแรกแล้วเทกลับลงบนไนล่อน ขยี้ผ่านอีกครั้งจะทำให้ได้ไข่ตุ๋นเป็นเม็ดเล็กๆ 
.
  
  
ภาพที่ 26  เมื่อลูกปลาเคยชินกับการกินไข่ตุ๋นแล้ว ก็ให้เป็นก้อนปลาจะค่อยๆเข้ามารุมล้อมแทะกินไข่ตุ๋น
.
9. การเลี้ยงปลากัด       
                บ่อเลี้ยงปลากัดถ้าเป็นบ่อดินควรมีขนาด  10 - 30  ตารางเมตร   ถ้าเป็นบ่อซีเมนต์ควรมีขนาด  2 - 6  ตารางเมตร มีความลึกประมาณ  50 - 60  เซนติเมตร   คัดแยกลูกปลาจากบ่ออนุบาลโดยคัดเอาเฉพาะปลาเพศผู้มาเลี้ยงเนื่องจากปลาเพศผู้เป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่าและราคาสูงกว่าปลาเพศเมียมาก   ปล่อยเลี้ยงในอัตรา  150 - 200 ตัว ต่อเนื้อที่  1   ตารางเมตรสำหรับบ่อดิน   และอัตรา  100 - 150 ตัว ต่อเนื้อที่  1  ตารางเมตรสำหรับบ่อซีเมนต์   แล้วเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดลอยน้ำ   นอกจากนั้นควรใส่พรรณไม้น้ำพวกสาหร่าย   และสันตะวา   เพื่อป้องกันการทำอันตรายจากปลาด้วยกันเอง   ใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ  50 - 60  วัน   ปลาจะมีขนาดประมาณ  5  เซนติเมตร   สามารถคัดแยกใส่ขวดเพื่อรอจำหน่ายต่อไป
 .
    
ภาพที่ 27  แสดงลักษณะบ่อเลี้ยงปลากัดทั้งบ่อซิเมนต์และบ่อดิน
                              ที่มา : http://fighterbetta.s5.com/howto.html(บ่อดิน)
1.  
 2. 
3.  
4. 
5.  
 6.  
ภาพที่ 28  แสดงลักษณะฟาร์มเลี้ยงปลากัดจีน(จรินพรฟาร์ม) ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
            1 โรงเรือน   2 การวางขวดเลี้ยงปลา  3 บ่ออนุบาล  4 คัดปลาใส่ขวด
          5 ล้างขวด   6 เติมน้ำ
 .
  
  
  
  
ภาพที่ 29  แสดงการเลี้ยงปลากัดลูกทุ่งในถังความจุประมาณ 70 ลิตร ซึ่งสามารถ   เลี้ยงปลากัดลูกทุ่งได้ถังละประมาณ 150-200 ตัว
.
   
ภาพที่ 30  แสดงการเลี้ยงปลากัดลูกหม้อในกะละมังความจุประมาณ 50 ลิตร ซึ่งสามารถ   เลี้ยงปลากัดลูกหม้อได้กะละมังละประมาณ 120-150 ตัว
10. การลำเลียงปลากัด      
                เนื่องจากปลากัดเป็นปลาที่มีอวัยวะช่วยหายใจที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพวก Labyrinth Fish จึงค่อนข้างมีความอดทน  ทำให้สามารถลำเลียงในภาชนะขนาดเล็กๆไปเป็นระยะทางไกลๆเป็นเวลานานได้โดยไม่ต้องมีการอัดออกซิเจน  วิธีการที่นิยมมากที่สุด คือการลำเลียงโดยบรรจุในถุงพลาสติกขนาดเล็กๆโดยไม่ต้องอัดออกซิเจน  และใช้กระดาษห่อด้านนอกเพื่อให้ปลาสงบนิ่งทำให้ใช้พลังงานน้อยลง หรือการใช้ภาชนะขนาดเล็กๆพอดีกับตัวปลา  ใส่น้ำพอท่วมตัวปลาโดยไม่ต้องปิดฝา  แล้ววางเรียงซ้อนกันในกล่องโฟมอีกทีหนึ่ง  ก็จะสามารถลำเลียงปลากัดได้คราวละจำนวนมากและเป็นระยะทางไกล  หรือลำเลียงแบบรวมในถุงพลาสติคขนาดใหญ่โดยใส่ปลาจำนวนมากในแต่ละถุง
 .
  
ภาพที่ 31  แสดงลักษณะการลำเลียงปลากัดโดยใช้ถุงพลาสติค(บน) กับในขวดขนาดเล็ก(ล่าง)
.
 
ภาพที่ 32  แสดงลักษณะการลำเลียงปลากัดแบบรวมโดยใช้ถุงพลาสติคขนาดใหญ่